กระดานสุขภาพ

โรคเริม
Anonymous

11 กุมภาพันธ์ 2556 16:47:14 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ มีคำถามข้องใจเกี่ยวกับเรื่องโรคเริมจะมาถามค่ะ

ดิฉันเพิ่งไปพบหมอสูติฯและหมอวินิจฉัยว่าดิฉันเป็นโรคเริม และให้ยา Valaciclovir 500 mg 10 เม็ด และ ยาทา lidokain 5% มา 1 หลอด ดิฉันอยู่ต่างประเทศ ชื่อยาบางอย่างอาจไม่คุ้นกับคุณหมอก็ได้นะคะ ดิฉันเกิดอาการนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ 4 วันก่อน และมีเพศสัมพันธ์กับแฟนก่อนเกิดอาการประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ เป็นแฟนคนปัจจุบันที่คบกันมาได้ 5 ปี ที่ผ่านมาดิฉันทานยาคุม และมีใช้ถุงยางกับแฟนค่ะ ดิฉันมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเขาแค่คนเดียวนะคะ แต่เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ดิฉันเลยไม่แน่ใจว่าได้รับเชื้อนี้มาจากไหน

ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ

1.เป็นไปได้ไหมค่ะว่าดิฉันจะได้รับเชื้อนี้มาจากแฟนคนก่อนซึ่งเลิกกันไป 4 ปีแล้ว แต่ช่วงที่คบกันอยู่ไม่ปรากฏอาการใดๆเลยนะคะ ดิฉันมาเมืองนอกก็ได้รับการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ และตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีค่ะ ยกเว้นตรวจภายในที่ดิฉันยังไม่เคยไปตรวจ อีกอย่างคือดิฉันได้รับการฉีดวัดซีน HPV ไปแล้ว 1 ครั้ง และวัดซีน Hepatitis B ครบ 3 ครั้งแล้ว คือฉีดหลังจากเลิกกับแฟนคนเก่าแล้วมาเรียนต่อเมืองนอกค่ะ

2.ดิฉันจะทราบได้อย่างไรค่ะว่าตัวเองหายดีแล้ว เพราะกลัวตัวเองจะเป็นพาหะให้แฟนคนปัจจุบันค่ะ หรือต้องให้หมอวินิจฉัยค่ะ ว่าหายดีแล้ว

3.แฟนคุณปัจจุบันของดิฉันจะได้รับเชื้อนี้ไหมค่ะ เพราะเรามีเซ็กซ์กันแบบไม่ได้ป้องกันและมีการร่วมรักกันทางปากด้วย ถ้าได้รับเชื้อต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างค่ะ ต้องใช้ถุุงยางไหมเวลาร่วมรักกัน

4.แฟนดิฉันเขาบอกว่าหลังจากร่วมรักกัน เขามันจะไอเหมือนมีอะไรติดคออยู่เสมอค่ะ เป็นเพราะอะไรคะ เกี่ยวกับโรคที่ดิฉันเป็นอยู่ไหม

5.ถ้าดิฉันหายดีแล้ว ดิฉันกับแฟนสามารถร่วมรักกันได้เหมือนเดิมไหมค่ะ ดิฉันหมายถึงไม่ได้ใช้ถุงยางและร่วมรักกันทางปากค่ะ

6.ทุกครั้งที่ดิฉันมีประจำเดือน โรคนี้จะกำเริบทุกครั้งใช่ไหมค่ะ เพราะเคยอ่านเจอว่าอย่างนั้น

7.ถ้าดิฉันหายดีแล้วมีสิทธิ์แพร่เชื้อให้คนอื่นไหมค่ะ แบบว่ากลัวว่าตัวเองจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนค่ะ เช่น การจูบ อย่างนี้เป็นต้นค่ะ

8.ถ้าดิฉันได้รับเชื้อมานานแล้ว ทำไมเพิ่งมาแสดงอาการตอนนี้ค่ะ ทั้งๆที่มีโอกาสจะเป็นได้หลายทีแล้ว เพราะหลายครั้งดิฉันก็เครียดมาก ร่างกายอ่อนแอ หรือมันหมายความว่าดิฉันเพิ่งได้รับเชื้อเมื่อเร็วๆนี้ค่ะ

 

ขอบคุณคุณหมอค่ะ

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 47 กก. ส่วนสูง: 156ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.31 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

13 กุมภาพันธ์ 2556 09:42:51 #2

โรคเริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ผู้ที่มีอาการจะมีแผลเป็นตุ่มน้ำใส เมื่อแผลแตกออกจะมีลักษณะตื้นๆ มีหนองอยู่ภายใน กลุ่มแผลจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ คล้ายๆ กับโรคอีสุกอีใส แต่เป็นเชื้อคนละตัวกัน ผู้ที่มีการติดเชื้อและมีแผลดังกล่าวจะมีอาการแสบร้อนที่อวัยวะเพศ ปัสสาวะแสบขัด มีไข้ต่ำๆ รู้สึกไม่สบายตัว อาจจะมีอาการตกขาวผิดปกติร่วมด้วย เมื่อแพทย์เห็นลักษณะของแผลก็จะสามารถให้การวินิจฉัยได้เลย ยาที่ใช้เป็นยาต้านไวรัสดังที่คุณได้มา และยาทาแก้ปวดเฉพาะที่ แต่ถ้าเป็นซ้ำอีกหรือเคยเป็นมาก่อนในอดีต อาการจะลดน้อยลงมาก การรับเชื้ออาจจะเกิดจากฝ่ายหญิงนำไปให้ชาย หรือชายนำมาให้หญิงก็ได้ การมี oral sex อาจจะทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ ถ้าเคยเป็นเริมที่ปากมาก่อน เพราะเชื้อมีการกลายยพันธุ์ได้ การสวมถึงยางเป็นการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีมากวิธีหนึ่ง แต่ก็ไม่ช่วย 100% ถ้าผิวหนังส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึงมีแผลและเกิดการเสียดสีจนมีรอยถลอก

1. เป็นไปได้ที่คุณเคยรับเชื้อมาแล้ว แต่ไม่มีอาการใดๆ เมื่อภูมิต้านทานร่างกายต่ำลงจึงปรากฏอาการขึ้นมา การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV เป็นการป้องกัน HPV ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ร้อยละ 70 แต่ไม่ได้ป้องกันการเกิดโรคเริม ส่วนวัคซีน hepatitis B จะป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หลังฉีดควรไปตรวจด้วยว่ามีภูมิต้านทานเกิดขึ้นหรือไม่

2. ถ้าไม่มีแผล ก็แสดงว่าหายดีแล้ว แต่อาจจะมีเชื้อไวรัสอาศัยอยู่ที่บริเวณเซลล์ที่บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งถ้าภูมิต้านทานร่างกายต่ำลงก็อาจเกิดอาการได้อีก แต่จะไม่รุนแรงเหมือนเป็นครั้งแรก การตรวจหาเชื้อทำได้ยากเพราะเป็นการติดเชื้อไวรัส ต้องอาศัยวิธีพิเศษ เช่น การทำ PCR หรือตรวจหาแอนติบอดี ซึ่งไม่มีใครทำกัน

3.แฟนคนปัจจุบันอาจจะได้รับเชื้อนี้แล้วถ้ามีรอยถลอกหรือมีแผลที่อวัยวะเพศ และมี oral sex ด้วยโอกาสการติดเชื้อก็จะสูงขึ้น แต่อาจจะไม่มีอาการถ้าร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการรับเชื้อเพิ่ม

4. อาการไอไม่ได้บ่งบอกถึงการรับเชื้อหรือติดเชื้อดังกล่าว อาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจจึงมีอาการไอ

5. เมื่อหายดีแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ดังเดิม แต่ต้องระวังการรับเชื้อเพิ่มหรือโอกาสเป็นซ้ำอีก ถ้ายังไม่ต้องการมีบุตร การสวมถุงยางน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่ช่วยลดการติดเชื้อลงไป

6.การมีประจำเดือนไม่ได้ทำให้โรคนี้กำเริบขึ้น แต่การติดเชื้อในช่วงที่มีประจำเดือนจะทำให้การรักษายากมากขึ้น

7. การติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ถ้ามีแผลหรือรอยถลอกบริเวณผิวหนัง และร่างกายเรามีเชื้ออยู่ แต่อาการจะเกิดขึ้นภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง หรือเชื้อมีปริมาณมาก

8. ตอบได้ยากว่าคุณเพิ่มได้รับเชื้อมาเร็วๆ นี้หรือไม่ กรณีที่เคยรับเชื้อมาแล้ว แต่ปริมาณไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก หรือภูมิต้านทานร่างกายไม่ได้อ่อนแอมาก คุณก็อาจจะยังดูแข็งแรงดี แต่ถ้าภูมิต้านทานต่ำลงมาก เชื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมากในเวลาสั้นๆ ก็จะแสดงอาการได้

Anonymous

13 มีนาคม 2556 23:56:18 #3

ขอบคุณมากๆเลยค่ะคุณหมอ

แฟนของดิฉันมีความกังวลใจกับเรื่องนี้มาก เค้าบอกว่าตัวเองไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย และเข้าใจว่าตัวเองไม่มีเชื้อนี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีอยู่แล้วแต่ไม่แสดงอาการ เค้าหาว่าดิฉันไปติดกับคนอื่นมาแน่ๆ คือปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละคะ ดิฉันถามคุณหมอเจ้าของไข้ คุณหมอก็บอกว่าดิฉันน่าจะได้รับเชื้อนี้จากแฟนคนนี้มากกว่าแฟนคนเก่า เพราะระยะเวลาการเกิดโรคมันห่างเกินไป และคุณหมอก็บอกสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติโดยไม่ต้องใช้ถุงยางถ้าหากหายดีแล้ว และควรงดตอนที่เริ่มมีอาการขึ้นมาอีก และให้รีบทานยา

ตอนนี้เค้าไม่มั่นใจในตัวดิฉันเลย คุณหมอคิดว่าดิฉันควรจะอธิบายอย่างง่ายๆยังไงดีคะ หรือคุณหมอมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมไหมค่ะ