กระดานสุขภาพ

รบกวนคุณหมอช่วยตอบหน่อยครับ เครียดมากตอนนี้
Anonymous

1 ตุลาคม 2559 02:54:49 #1

คือผมกับแฟนมีอะไรกันช่วงวันที่ 30-31 ส.ค. (ผมไม่ชัววันที่นะครับ แต่ทำแค่ครั้งเดียว) ต่อมามีอะไรกันอีกวันที่ 23 ก.ย. สวมถุงยาง หลังเสร็จกิจ ลองใส่น้ำลงในถุงยาง ไม่มีรอยรั่วใดๆ แฟนผมมีปจด.ล่าสุดคือวันที่ 18 ส.ค. ปกติแฟนผมจะเป็นคนที่ปจด.มาไม่ปกติ โดยส่วนใหญ่จะเลื่อนออกมาทุก 7 วันในแต่ละเดือน แต่ ณ วันนี้ (1 ต.ค.) ปจด.แฟนผมก็ยังไม่มา ได้ซื้อที่ตรวจครรภ์แบบจุ่มมาทดสอบแล้วในวันที่ 27 ตอนบ่าย และ 28 ตอนเช้า ได้ผลคือ ขึ้นขีดเดียวทั้งสองครั้งครับ ตอนนี้แฟนผมกำลังทานยาสตรีอยู่ แล้วเธอเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อย ตัวร้อน ปวดท้อง อะครับ เราเลยกังวลกันว่าจะท้องรึป่าว ผมอยากจะถามคุณหมอครับว่า 1.ที่ตรวจครรภ์มีสิทธิ์ที่จะตรวจพลาดรึป่าว 2. เดือนนี้เป็นเดือนที่มีสอบเยอะมาก ผมกับเเฟนจึงค่อยข้างเครียดกันมากๆ โดยเฉพาะแฟนผมที่เค้าเครียดกับการเรียนเยอะมากๆ เครียดจนปวดหัว นอนดึกมากๆ บางวันนอน 6 โมงเช้าไรเงี้ยครับ เลยอยากถามว่า พวกนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ปจด.มาช้ากว่าปกติรึป่าวครับ
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 49 กก. ส่วนสูง: 163ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.44 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

6 ตุลาคม 2559 04:01:26 #2

หากในการมีเพศสัมพันธ์นั้น มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนสอดใส่อวัยวะเพศ ถือว่า เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพครับ ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ครับ สบายใจได้ โดบไม่จำเป็นต้องทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ อย่างไรก็ตามหมอขอแนะนำการคุมกำเนิดสักนิดนะครับ หากครั้งต่อๆไปมีเพศสัมพันธ์ที่อาจมีการสอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ คือ การป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้นครับ และ เรื่องถุงยางอนามัยที่มีปัญหานั้น โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยนั้น ค่อนข้างรัดกุมมากนะครับ การที่จะขาด รั่ว หรือ ปริแตกนั้นเกิดได้น้อยมากแต่หากเกิดมักเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธีครับ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้น มีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยซ้อนกันมากกว่า 1 ชั้นชึ้นไปนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้ป้องกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ถุงยางมีโอกาสที่จะขาดและปริแตกง่ายขึ้นด้วยจากการเสียดสีกันเองของถุงยางอนามัยครับ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครับ ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ

ส่วนลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ

ในความคิดเห็นของหมอ หมอขอกล่าวโดยรวมๆนะครับ ในเรื่องกลุ่มยาที่กล่าวมานั้น ในตัวยาประเภทนี้ เป็นยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์นั้นอาจคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูก อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นได้ แต่จะไม่มีฮอร์โมนที่ทำให้เยื่อบุหลุดลอกสลายตัวออกมาได้ ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ อาจทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก หรือ มีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ โดยในความเห็นของหมอ ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกตินั้น เกิดจากอะไร