กระดานสุขภาพ

เป็นเริมครั้งที่ 7 ในรอบ 1 ปีควรทำยังไงดีครับ
Anonymous

17 พฤศจิกายน 2558 13:44:40 #1

คือเป็นครั้งแรกเดือนตุลาคมปี 2014 และหายไปเลยโดยก็ช่วยตัวเองแบบปกติ กลับมาเป็นอีกทีตอนเมษาปี2015 ก็ซื้อยากิน vilerm 400mg 5 วันวันล่ะ3เม็ดก็หายครับ และกลับมาเป็นอีกทีเดือนต่อไปหลังจากนั้นก็เป็นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ครั้งที่ 7 แล้วครับโดยระยะห่างจะประมาณ1เดือน แต่ผมช่วยตัวเองบ่อย ผมเลยอยากถามคุณหมอว่าปัจจัยอ่ะไรที่ทำให้ผมเป็นบ่อย เพราะผมก็นอนไวปกติ ร่างกายแข็งแรงตลอด ผมควรจะงดช่วยตัวเองไปเลย หรือควรกินยาตลอดทุกวัน หรือควรทำยังไงดีครับ ขอบคุณครับ
อายุ: 20 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 70 กก. ส่วนสูง: 178ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.09 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Psua*****t

17 พฤศจิกายน 2558 13:46:05 #2

และพอเริ่มเป็นผมก็จะกินยา vilerm 400 mg ทันทีซึ่งมันก็หายสนิทน่ะครับ แต่ผมไม่อยากเป็นมันอีกอ่ะครับ
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

28 พฤศจิกายน 2558 04:32:57 #3

เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไป แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง ในกรณีของคุณ การช่วยตัวเองน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เป็นซ้ำ อาจจะลองหยุดช่วยตัวเองซักระยะหนึ่ง ถ้าเป็นน้อยครั้งลง ก็แสดงว่าเป็นปัจจัย ส่วเรื่องการลดความถี่ของการเป็นซ้ำ อาจจะต้องกินยา ฟแัแสนอรพ ครั้งละ 400 มิลลิกรัม เช้าเย็น 3 เดือน แล้วลดเหลือ 200 มิลลิกรัม เช้าเย็น กินติดต่อกันทุกวัน เป็นระยะเวลา 1ปี ความถี่จะลดลงเหบือ 2-5 ครั้งต่อปี ให้ลองหยุดยา ถ้าไม่เป็นถี่มากขึ้น ก็สามารถใช้วิธีกินยาเมื่อเป็นแผล โดยกินครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง เป็นเวลา 5-7 วัน แนะนำหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องการกินยา อาจจะต้องมีการตรวจการทำงานของตับเป็นระยะๆ