กระดานสุขภาพ

ซิฟิลิส titer 1:4
Arth*****o

24 สิงหาคม 2558 14:52:10 #1

ก่อนอื่นต้องขอเรียนก่อนนะครับว่าผมเป็นเกย์

พอดีรู้จักกับพี่พยาบาลที่ทำงานคลินิกด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งครับ  พอดีพี่เขาออกบูทVCT ที่สถาบันอาชีวะเลยขอพี่เขาเข้าไปเจาะเลือดตรวจ ไม่ได้เจาะเลือดตรวจในโรงพยาบาลนะครับรู้ผลตรวจวันที่ 10 สิงหาว่ามีเชื้อซิฟิลิส  ซึ่งมันผ่านมา 2 ปีแล้ว ย้อนกลับไปหลังจาก 1 เดือนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันซึ่งไม่ใช่แฟน ผมมีผื่นแดงขึ้นที่ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัวเล็กน้อย ตูดแฉะๆ คันๆ จู๋เหมือนมีเมือกขาวๆติดอยู่คันด้วยเช่นกันครับ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ไปหาหมอผิวหนัง หมอเขาบอกว่าเป็นสะเก็ดเงินไม่รุนแรงมากก็เลยเข้าใจว่าว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินมาตลอด พอ 2 เดือนต่อมา ผมร่วง คิ้วร่วง ประกอบกับช่วงนั้นย้อมผมพอดีเลยคิดว่าตัวเองแพ้  ผ่านมาจะ 3 ปีแล้วเพิ่งมารู้ตัวเองว่าเป็นซิฟิลิส ณ ปัจจุบันไม่แสดงอาการใดๆเลยครับ ฉีดยาผงสีขาวๆ 2 ขวดครับ ขวดละ 1 เข็มที่แก้มกันซ้ายขวา พี่พยาบาลฉีดให้ ผมไม่ได้พบแพทย์เลยนะครับ  ฉีดยาเมื่อวันที่ 19 สิงหา  58  หลังจากนี้ titer จะลดลงไหมครับ มีโอกาสจะเป็น 0 มั้ย และได้รับการรักษาช้าเกินไปหรือเปล่าครับ  เพราะว่าเข้าระยะแฝงแล้วต้องฉีดยาเพิ่มไหม และปริมาณยาที่ฉีดเข้าไปเพียงพอไหม จะฆ่าเชื้อหมดไหมครับคุณหมอ  ผมกังวลใจมากบวกกับจิตตกด้วย

อายุ: 23 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 81 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 29.75 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

26 สิงหาคม 2558 14:38:21 #2

ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย จะมีโอกาสพบบ่อยกว่าชายทั่วไป แบ่งเป็น 1.แผลริมแข็งหรือระยะที่ 1 รักษาโดยฉีดยา benzathine 2.4 ล้านยูนิต ครั้งเดียว 2. ระยะที่ 2 มีอาการผื่นขึ้นตามตัวไม่คัน ผมร่วงเป็นต้น รักษาโดยฉีดยา benzathine 2.4 ล้านยูนิต ครั้งเดียว 3.ระยะแฝง ไม่มีอาการ รักษาโดยฉีดยา benzathine 2.4 ล้านยูนิต 3 ครั้งติดต่อกัน (อาทิตย์ละ 1 เข็ม) ในกรณีของคุณ อาการที่เล่ามาน่าจะเป้นซิฟิลิสระยะที่สอง คือมีผื่นและผมร่วง แต่ไม่ได้รักษา มารักษาเมื่อผ่านไป 2ปี โดยฉีดยา ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็น benzathine 2.4 ล้านยูนิต การติดตามผลการรักษาโดยการตรวจ VDRL หรือ RPR มีข้อบ่งชี้ว่าต้องรักษาซ้ำ เมื่อค่า VDRL หรือ RPR เพิ่มขึ้นจากก่อนรักษาหรือในการติดตามผลในการตรวจครั้งต่อๆมามากกว่า 4 เท่า หรือเมื่อครบ 1ปี ยังมีค่ามากกว่า 1:8 ในกรณีของคุณคงต้องดูว่าค่าของ VDRL หรือ RPRก่อนรักษาและหลังรักษาเป็นเท่าไร และส่วนใหญ่แล้วถึงแม้จะรักษา ก็ยังให้ผลบวกต่ำๆๆด แต่ต้องไม่มากกว่า 1:4 ถ้าไม่แน่ใจแนะนำหาหมอครับ และต้องตรวจเลือดเอดส์ด้วยเพราะพบว่ามีการติดเชื้อร่วมกันได้ ให้ใช้สิทธิที่มี เช่น บัตรทอง หรือประกันสังคม ไม่ต้องเสียค่าตรวจ