กระดานสุขภาพ

รบกวนวินิจฉัยทีครับ มีรูป
Anonymous

14 พฤษภาคม 2558 17:33:53 #1

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229.jpg

หนังหุ้มอวัยวะเพศมีอาการบวมแดง ครั้งก่อนที่เคยเป็นอาการเดียวกันนี้ เคยรักษาความสะอาดไม่ดีทำให้ส่วนที่บวมนี้กลายเป็นแผล เคยไปหาคุณหมอตอนเป็นแผลแล้ว คุณหมอบอกว่าแผลคล้ายเริม แต่เนื่องจากไม่มีตุ่มน้ำใสมาก่อน และไม่ได้มีการเสี่ยงมาในช่วงนั้น คุณหมอจึงสั่งยาปฏิชีวนะให้ทาน และให้ยาทาbactroban

หลังจากหายแล้ว ด้วยความกังวลจึงไปตรวจเลือดเพื่อหาว่าเคยติดเชื้อherpesหรือไม่ แต่ผลออกมาว่าไม่เคยครับ

 

ครั้งนี้มีอาการบวมแดงแบบในภาพอีก จึงอยากสอบถามว่า มันเป็นโรคอะไรครับ

สังเกตว่า ทั้งครั้งก่อนและครั้งนี้ อาการนี้เกิดเมื่อ มีการปัสสาวะโดยเร่งรีบ และ เปื้อนกางเกงในระหว่างวัน โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนจนดึก แล้วพบว่าบวมแดงครับ  

 

อายุ: 32 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 65 กก. ส่วนสูง: 174ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.47 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

14 พฤษภาคม 2558 17:41:01 #2

เพิ่มเติมครับว่า พอดีดูในรูปแล้วมองเหมือนมีตุ่มใส เลยดูอีกที ที่จริงคือเพิ่งล้างมาก่อนถ่ายรูป จึงมีหยดน้ำติดตามขน และหนังหุ้มบางส่วนเท่านั้นครับทำให้ดูคล้ายตุ่มใส

อยากทราบว่าแบบนี้ยังมีความเสี่ยงว่าจะเป็นเริมไหม แล้วถ้าเป็นโรคอื่นคือเป็นโรคอะไร ต้องรักษาอย่างไรครับ

ครั้งก่อนที่เคยเป็นห่างจากครั้งนี้ประมาณเดือนครึ่งครับ

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

17 พฤษภาคม 2558 03:33:02 #3

ดูจากรูปที่ส่งมา บริเวณหนังหุ้มบวมเล็กน้อย แต่ไม่เห็นแผลชัดเจน ถ้าไม่เคยมีประวัติว่าเป็นเริมมาก่อน ก็อาจจะไม่ใช่เริม อาจจะเกิดจากการแพ้ หรือการระคายเคืองสารที่มาสัมผัส เช่น สบู่ เจลอาบน้ำ ร่วมกับความอับชื้น จึงเป็นจุดแดงๆและอาจมีเชื้อราร่วมด้วย แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เช่นสบู่เด็ก ล้างเบาๆแล้วซับให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ ทายาที่มีส่วนผสมของาแก้แพ้ชนิด triamcinolone 0.02% + ยาเชื้อรา clotimazoleทาบางๆ เช้าและก่อนนอนหลังอาบน้ำ น่าจะดีขึ้นใน 5-7 วัน

ในกรณีที่เป็นบ่อยอาจต้องระวังความอับชื้นและงดใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้และถ้าหนังหุ้มยาวเกินไปอาจต้องขลิบเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น การขลิบหนังเป็นการทำศัลยกรรมที่ถือว่าไม่ซับซ้อน แพทย์ศัลยกรรมทั่วไปทำได้ครับ ต้องมีการฉีดยาชา ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงน่าจะเสร็จ ถ้ารักษาแผลให้ดี ประมาณ 2 อาทิตย์ แผลก็จะหายดี แต่ถ้าเคยมีความเสี่ยง และเคยเป็นเริมมาก่อน การที่เป็นแผลเล็กๆ ก็อาจจะเป้นเป็นเริมที่จะเป็นๆหายๆ เพราะมีเชื้อเริมอยู่ที่ผิวหนังหรือปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณที่เคยเป็นเริมมาก่อน ในกรณีของคุณถ้าตรวจเลือดแล้วไม่พบว่ามีภูมิต้านทานต่อเชื้อ เริม คือ Herpes simplex type 1และ 2 ก็ไม่น่าจะเคยติดเชื้อเริม น่าจะเป็นจากการแพ้ตามที่ได้ตอบไปแล้ว

Anonymous

19 พฤษภาคม 2558 05:49:19 #4

มาอัพเดตอาการครับ 

เรียนก่อนว่า หลังจากคืนที่โพส พอเช้าได้มีการไปพบแพทย์ที่รพ. แพทย์แจ้งว่ารอยโรคไม่ชัดเจนว่าเป็นอะไร แต่บีบดูแล้วไม่เจ็บหรือเจ็บน้อยมาก มีอาการคันนิดหน่อย หาตุ่มใสไม่เจอ แพทย์แจ้งว่า "ไม่น่า" จะเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์ ให้ลองใช้bactroban ทาดู (แพทย์คนละรพ.ที่เคยตรวจตอนเป็นครั้งแรกเคยให้ทาและแจ้งแพทย์ปัจจุบันตามนั้น แพทย์จึงให้ลองใช้ยาเหมือนเดิม เพิ่งมาเห็นที่คุณหมอบอกเรื่องยาแก้แพ้และเชื้อรา ยังไม่ได้ซื้อมาทาเลย)

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพยายามสังเกตทุกวัน ไม่พบตุ่มใสที่สังเกตได้ (หรือผมอาจหาไม่เจอ) 

จากครั้งแรกที่โพสรูปในตอนนั้นเป็นตอนที่เพิ่งสังเกตว่าเป็นเลยครับ เลยเอารูป ณ.ตอนนี้มาให้ดู คือผ่านมาสี่วันครึ่งแล้วจากวันที่15 (รอยคราบขาวในภาพคือ bactroban ointment ที่แห้งนะครับ บางภาพอาจมีหยดน้ำเวลาถ่ายหลังล้าง)

วันที่ 16 เริ่มแห้ง บวมน้อยลง ผิวดำคล้ำ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229-1.jpg

วันที่ 17 มีแผลเกิดขึ้น คืนนั้น(16)มีพลาดฉีดน้ำแรงสูงจากสายชำระมาโดน และดูเหมือนแตกตามรอยย่นที่แห้งซึ่งผมมักจะต้องไปจับมันกางออกเพื่อถ่ายรูปให้ชัด ไม่แน่ใจว่าเป็นสาเหตุหรือเปล่า ภาพนี้ถ่ายตอนเช้า โดยยังไม่ได้ล้าง จึงมีคราบ bactroban

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229-2.jpg

วันที่ 18 คราวนี้พลาดเสียดสีกับขอบกางเกงตอนใส่หลังปัสสาวะเสร็จ เป็นแผลทั้งแถบเลยครับ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229-3.jpg

วันที่ 19 แผลของวันที่18เริ่มแห้งขึ้นหน่อย

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229-4.jpg

ความกังวลของผมคือ ผมยังกลัวมากว่า หากผมเป็นเริมจะเอาไปติดแฟน ผมเพิ่งคบแฟนไม่นานนัก ยังไม่มีอะไรกัน แต่จริงจังและอยากสร้างครอบครัวด้วยกัน กลัวว่าถ้าเป็นจะต้องระวัง ต้องใช้ถุงยางไปตลอดชีวิต กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องมีบุตร

ตอนตรวจเลือดหาภูมิต้านทานherpesที่รพ.เอกชนชื่อดังหลังจากแผลครั้งแรกหาย หมอแจ้งว่า ไม่เป็นเริม สบายใจได้ 100% ผมก็ดีใจ

แต่พอเป็นซ้ำ ผมกลัวมากครับ นั่งสังเกต ถ่ายรูปทุกวัน เลยขอถามอีกข้อว่า ผลเลือดนี่เชื่อถือได้แค่ไหนครับ? (ผมไม่มีความเสี่ยงหรือเสี่ยงเพิ่มเลยในระหว่างที่เป็นสองครั้งนี้)

เคยอ่านบางบทความบอกว่า ตอนเป็นเริมครั้งแรกอาจไม่รู้ตัวก็ได้ แม้ทั้งสองครั้งนี้ผมไม่มีความเสี่ยงผมก็กลัวว่าจะเคยติดเชื้อเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่รู้ตัว

ที่ส่งมาให้ดูทั้งหมดอยากให้ช่วยดู สังเกตและวินิจฉัยทีครับว่า มีโอกาสไหมที่จะเป็นเริม

และผมควรตรวจเลือดซ้ำหรือมีทางอื่นที่จะยืนยันแน่ชัดกว่าหรือไม่ว่าผมเป็นเริมหรือเปล่า

ส่วนเรื่องขลิบ ดูแล้วยังต้องขลิบเพิ่มไหมครับ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/55262-22229-5.jpg

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

20 พฤษภาคม 2558 14:46:55 #5

ดูจากรูปที่ส่งเพิ่มเติม และจากอาการที่เล่ามา น่าจะเป็นการแพ้ ระคายเคืองตามที่ได้ตอบไปแล้ว อีกสาเหตุอาจจะเกิดจากการแพ้ยากิน เช่น ยาแก้ไข้ แก้หวัด ยาแก้อักเสบ ยาชุดที่ซื้อตามร้านขายยา ลองนึกดูว่าก่อนที่จะเป็นมีกินยาอะไรหรือไม่ ถ้ามีก็อาจจะมีสาเหตุจากการแพ้ยา ต้องหยุดกินยาที่สงสัยว่าจะแพ้ เพราะถ้ากินอีก จะเป็นมากขึ้น ให้ล้างแผลด้วยสบู่เด็ก และทายาแก้แพ้ triamcinolone 0.02% ตามที่บอกไปแล้ว ถ้าไม่ดีชึ้นคงต้องหาหามอผิวหนังครับ ส่วนประเด็นเรื่องการตรวจเลือด น่าจะเชื่อถือได้ จากประวัติแลั อาการที่เล่ามา ก็ไม่น่าจะเป็นเริม สำหรับเรื่องขลิบ เท่าที่ดูจากรูป หนังหุ้มยาว แต่ดูแล้ว น่าจะรูดเปิดได้สุด และไม่น่าจะรัดเวลาแข็งตัว อาจไม่จำเป็นต้องขลิบ ถ้าไม่แน่ใจแนะนำหาหมอระบบสืบพันธ์และทางเดินปัสสวาะครับ