กระดานสุขภาพ

ประจำเดือนไม่มา ไปตรวจที่รพ.พบว่าไม่ท้อง
MSPL*****Y

25 มีนาคม 2558 03:28:40 #1

ประจำเดือนของทุกเดือนจะมาประมาณวันที่ 10 - 15 อยู่ในช่วงสิบต้นๆ (เป็นประจำเดือนวันสุดท้ายวันที่ 14 ก.พ) 

มีเพศสัมพัมธ์กับแฟนครั้งแรก วันที่ 14, 15, 21, 28 ก.พ และกินยาคุมฉุกเฉินวันที่ 15 กับ 28 ก.พ (วันละกล่อง) หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินวันที่ 15 ผ่านไป 6 วัน มีเลือดออกแต่ไม่มีอาการใดๆ / และหลังจากกินยาฉุกเฉินวันที่ 28 ผ่านไป 6 วัน มีเลือดออกเหมือนกันแต่มีอาการเพลีย มึนๆ ปวดท้องจี๊ดๆเป็นบางครั้ง น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน (คือกินสองรอบเลือดออกสองรอบ)

ไปตรวจอัลตราซาวน์และตรวจฉี่ที่รพ.กรุงเทพ วันที่ 13 มี.ค พบว่าไม่ท้อง + มดลูกปกติดี แต่คุณหมอบอกว่ายังไม่ชัวและนัดให้มาตรวจอีกครั้ง / หลังจากนั้นไปตรวจฉี่อีกที วันที่ 24 มี.ค พบว่าไม่ท้อง แต่ไม่ได้ตรวจอัลตราซาวน์

ผ่านมาแล้ว 1 เดือน นับจากวันที่ประจำเดือนเดือนมาครั้งสุดท้าย วันที่ 14 ก.พ จนวันนี้ 24 มี.ค ประจำเดือนยังไม่มาเลยค่ะ มีโอกาสไหมคะ ที่รพ. จะตรวจพลาด หรือผลตรวจยังไม่ชัดเจน ไม่ชัว แต่ตรวจฉี่ครั้งสุดท้ายมันก็ผ่านจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายมาแล้ว 3 สัปดาห์ ผลตรวจควรจะชัดเจนรึปล่าคะ ?

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 52 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.10 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

28 มีนาคม 2558 13:43:15 #2

ในการมีเพศสัมพันธ์ที่มีการสอดใส่อวัยวะเพศ หากไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้นะครับ ซึ่งการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งหากอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรทานยานี้นะครับ และ หากทานถูกต้อง ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ ซึ่งตามประวัติ มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซ้ำไปอีกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะครับ เพราะ ปกติยานี้จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และ จะผลข้างเคียงมากได้ ประกอบกับประสิทธิภาพจะไม่ดี และ ก็จะมีเลือดออกผิดปกติมาได้ จนทำให้สับสนได้ว่า เลือดที่ออกมาคืออะไร เช่นในกรณีนี้ครับ ดังนั้น ส่ิงที่หมอฝากได้คือ การป้องกันการตั้งครรภ์นั้น ควรใช้วิธีที่ป้องกันก่อนมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้น การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น นอกจากประสิทธิภาพจะต่ำกว่าแล้ว ยังมีผลข้างเคียงมากกว่าอีกด้วยครับ ด้วยความหวังดีครับ

อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ ดังนั้น จากประวัติการตรวจที่กล่าวมา หากหลังจากนั้น ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ซ้ำไปอีก ก็ไม่น่าตั้งครรภ์ครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ หรือ มาไม่เป็นรอบตามปกติใน 1 เดือน ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อรักษาตามสาเหตุครับ

หมอขอแนะนำการคุมกำเนิดสักนิดนะครับ การทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้นควรจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพนั้น คือ การป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้นครับ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้น มีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยซ้อนกันมากกว่า 1 ชั้นชึ้นไปนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้ป้องกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ถุงยางมีโอกาสที่จะขาดและปริแตกง่ายขึ้นด้วยจากการเสียดสีกันเองของถุงยางอนามัยครับ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครับ ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ