กระดานสุขภาพ

สงสัยค่ะ ทำไมหน้าท้องมีชีพจรเต้นเหมือนหัวใจเต้นคะ ?
Anonymous

11 มีนาคม 2558 03:40:24 #1

คือเราเคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนวันที่ 14 15 ก.พ (ไม่ใส่ถุงยาง)วันที่ 15 กินยาคุมฉุกเฉินไป และเลือดออกวันที่ 20 ก.พ มีอะไรกับแฟนอีกวันที่ 21 ก.พ (มีเลือดออกอยู่และใส่ถุงยาง) หลังจากนั้นวันที่ 28 ก.พ มีอะไรกับแฟนอีก (ไม่ใส่ถุงยางแต่กินยาคุมฉุกเฉินหลังจากมีเพศสัมพัมธ์ เม็ดแรกภายใน 20 นาที เม็ดที่สองกินตามที่ฉลากบอก 12 ชั่วโมง) หลังจากนั้นก็มีเลือดออกอีกวันที่ 6-10 มีนา และมีอาการหลังจากที่กินยาคุมฉุกเฉิน คือ เพลีย วิตกกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ ชอบนอนช่วงเย็น มึนหัวเล็กน้อย ปวดหน่วงท้องแต่ไม่มาก จี๊ดซ้ายขวาเป็นบางครั้งแต่ไม่บ่อย หัวใจเต้นแรง มีตกขาวก่อนเลือดจะออกมา 3-4 วัน หลังจากนั้นเลือดออกประมานวันที่ 6-10 มีนา และสังเกตเห็นหน้าท้องของตัวเองว่ามีเหมือนชีพจรเต้นอยู่ เห็นได้ชัดและเป็นจังหวะ รู้สึกแน่นและหน่วงท้องนิดๆ เหมือนมีอะไรอยู่ท้อง มันปั่นป่วนอยู่ในนั้น รู้สึกเหมือนอาการแสบท้องหิวข้าวแต่ไม่ได้หิวนะ อยากทราบว่าอาการแบบนี้ เราท้องรึเปล่า (ประจำเดือนของเรา ปกติจะมาวันที่ 10 กว่าๆ) ตอนนี้รอให้ประจำเดือนมาอยู่ แต่สงสัยค่ะ คือถ้าเรากินยาคุมฉุกเฉินจะทำให้ไข่ไม่ตกใช่มั้ยคะ เพราะถ้าไข่ตกหลังกินยาคุมฉุกเฉินอาจจะทำให้ท้อง ? แต่ทำไมครั้งนี้เรามีตกขาวหลังกินยาคุมฉุกเฉิน อาการตกขาว คือ อาการตกไข่ใช่มั้ยคะ ? คือทั้งชีวิตเพิ่งกินยาคุมฉุกเฉินไปสองครั้ง คือวันที่ 15 ก.พ กับ 28 ก.พ กินครั้งแรกไม่มีอาการเลยค่ะ มีแต่เลือดออก แต่ทำไมครั้งที่สองมีอาการเยอะจังคะ กลัวท้องมากๆ คุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 52 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.10 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Aomb*****a

11 มีนาคม 2558 04:14:01 #2

สู้ๆนะครับเอาใจช่วยให้ไม่ท้องนะครับ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

14 มีนาคม 2558 16:09:35 #3

หากการมีเพศสัมพันธ์นั้น มีการสอดใส่อวัยวะเพศ แล้วไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ แม้สุดท้ายจะไม่ได้หลั่งด้านในก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ เนื่องจากในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์จะมีอสุจิออกมากับสารคัดหลั่งที่ออกมาในช่วงนี้ แม้ปริมาณอสุจิจะน้อย ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ ดังนั้นในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่ไม่ได้ป้องกันนั้น มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์แน่นอนครับ ซึ่งการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งหากอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรทานยานี้นะครับ และ หากทานถูกต้อง ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ แต่จากประวัตินั้น มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซ้ำไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะครับ เพราะ ปกติยานี้จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และ จะผลข้างเคียงมากได้ ประกอบกับประสิทธิภาพจะไม่ดี และ ก็จะมีเลือดออกผิดปกติมาได้ จนทำให้สับสนได้ว่า เลือดที่ออกมาคืออะไร หรือ ประจำเดือนไม่มา เช่นในกรณีนี้ครับ อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ

ในเรื่องของตกขาวนั้น เบื้องต้นแล้ว ตกขาวที่อาจมีได้ช่วงนี้ ก็เป็นผลจากฮอร์โมนที่สูงขึ้นหลังจากไข่ ซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางรอบเดือนครับ และสามารถพบสารคัดหลั่งนี้มากขึ้นจนถึงช่วงใกล้ๆมีประจำเดือนได้ครับ หรือ เป็นผลจากฮอร์โมนที่สูงหลังจากที่ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ แต่จะไม่มีอาการผิดปกติ เช่น คัน กลิ่นเหม็น หรือ เลือดปนครับ ซึ่งไม่ผิดปกตินะครับ ดังนั้น หมอแนะนำให้สังเกตุอาการไปก่อน แต่หากหากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

ส่วนอาการที่รู้สึกบริเวณหน้าท้องของตัวเองว่ามีเหมือนชีพจรเต้นอยู่ เห็นได้ชัดและเป็นจังหวะนั้น เป็นชีพจรที่อาจรู้สึกได้จากเส้นเลือดใหญ่กลางตัว (abdominal aorta) ซึ่งอาจรู้สึกได้ง่ายในผู้ที่ค่อนข้างผอมและมีหน้าท้องบางครับ ซึ่งปกติแล้วหัวใจทารกเต้นนั้น เราไม่สามารถรู้สึกได้เลยนะครับ ต้องใช้เครื่องช่วยฟังหรือตรวจอัลตราซาวด์จึงจะทราบครับ

ส่ิงที่หมอฝากได้คือ การป้องกันการตั้งครรภ์นั้น ควรใช้วิธีที่ป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้น ซึ่งหมอขอแนะนำการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องสักนิดนะครับ ซึ่งมีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครัน ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ

Anonymous

19 มีนาคม 2558 03:29:39 #4

ขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะ 

Pimo*****a

23 มีนาคม 2560 12:38:06 #5

เราเป้นเหมือนเขาแต่อ้วนอ่ะค่ะ       เห้นหมอบอกว่าคนผอมบางจะเห้น   และคนอ้วนล่ะค้ะจะเห้นมั้ยค่ะ