กระดานสุขภาพ

ประจำเดือนขาดกลัวท้อง
Anonymous

17 มกราคม 2558 02:54:12 #1

พอดีหยุดกินยาคุมกำเนิด หลังกินติดต่อกันประมาณ 4 ปี หยุดพักกินตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 เดือนพฤศจิกาประจำเดือนมาวันที่ 13-17 พอหลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์แบบใช้ถุงยางมาโดยตลอด แล้วหยุดกินยาคุมไป พอมาถึงวันที่ 2 ธันวาคม มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางไป 1 ครั้ง เสร็จนอก ในตอนเช้าเลยกินยาคุมฉุกเฉิน จากนั้นเลยกินยาสตรีไป 1 ขวด เพราะกลัวท้อง ประจำเดือนเลยมา วันที่ 14-20 ธันวาคม พอหลังจากนั้นประมาณวันที่ 28-30 เหมือนมีเลือดหรือลิ่มเลือดไหนออกมาติดกางเกงในแล้วก็หยุดหายไป วันที่ 1 เลยตรวจครรภ์ก็ไม่พบว่าท้อง แต่ไม่รู้ว่าเลือดหรือลิ่มเลือดไหลหรือหยดติดกางเกงในได้อย่างไร เป็นผลค้างเคียงของการกินยาคุมฉุกเฉินหรือเปล่า พอหลังจากนั้นมาจนถึงวันที่ 6 ประจำเดือนก็ยังไม่มา ตรวจก็ไม่ตั้งครรภ์ พอมาตรวจอีกวันที่ 14 ก็ตรวจอีกก็ไม่ตั้งครรภ์ แต่กินยาสตรีไปอีก 1 ขวดเพราะอยากให้ประจำเดือนมา พอวันนี้ล่าสุด 17 มกราคมประจำเดือนยังไม่มาเลย แต่มีเพศสัมพันธ์ก็ใส่ถุงยางตลอด กลัวท้องมาก กังวลมากเพราะอยากทราบว่าทำไมถึงประจำเดือนขาดไป เป็นผลจากเราหยึดกินยาคุมกำเนิดหรือเปล่า คุณหมอช่วยตอบคำถามหน่อยนะค้ะ ขอบพระคุณค้ะ

อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 55 กก. ส่วนสูง: 164ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.45 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

21 มกราคม 2558 14:20:23 #2

หมอขอตอบเป็นประเด็นดังนี้ครับ
1. หากเพศสัมพันธ์นั้น มีการสอดใส่อวัยวะเพศ แม้จะไม่ได้หลั่งด้านในก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ เนื่องจากในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์จะมีอสุจิออกมากับสารคัดหลั่งที่ออกมาในช่วงนี้ แม้ปริมาณอสุจิจะน้อย ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ ดังนั้นในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่ไม่ได้ป้องกันนั้น มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์แน่นอนครับ ซึ่งการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งหากอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรทานยานี้นะครับ และ หากทานถูกต้อง ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ

2. เรื่องที่ประจำเดือนไม่มานั้นสาเหตุที่สำคัญอาจเกิดจาก ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่หมอกล่าวไป และ อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องยาสตรีหรือสารต่างๆที่มีผลในแง่นี้นั้นอาจเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้ ซึ่งจากประวัติที่กล่าวมานั้น มีการทานยาในกลุ่มนี้ซึ่งตามความเห็นของหมอแล้ว ยาที่กล่าวมานั้นมีจะมีสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ที่เรียกว่า phytoestrogens ครับ ซึ่งการควบคุมปริมาณของสารที่ออกฤทธ์ิคล้ายฮอร์โมนนี้ที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ ยิ่งหากนำมาใช้เพื่อมาป้องกันการตั้งครรภ์ย่ิงไม่ควรอย่างยิ่งครับ เนื่องจากมีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลต่อทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ และ อาจยังทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก กะปริดกะปรอยได้อีกด้วย ดังนั้น ในความเห็นของหมอ หมอคิดว่า ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะ นอกจากจะไม่รักษาที่สาเหตุแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่อีก เช่น เลือดออกผิดปกติ เป็นต้นครับ

3. ในเรื่องการตั้งครรภ์หรือไม่นั้น จากประวัติดังกล่าวก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยทางปัสสาวะนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ