กระดานสุขภาพ

มีคราบ เหมือนหนัง องคชาติลอก มีอาการคันบ่อย
Anonymous

9 มกราคม 2558 17:34:07 #1

สวัสดีครับ

 

พอดีมีปัญหารบกวนถามครับ

 

ตอนนี้เป็นกังวัลมาก เพราะมีอากาศคันบริเวณหนังหุ้มองคชาคบ่อยมาก

 

และวันนี้พบอากาศลอกของหนังอย่างหน้ากลัว ตามรูปครับ

 

เมื่อก่อนคิดว่าเป็นเชื้อราเลยทาน คีโตโคนาโซน 200 mg มา เดือนกว่าๆ

 

ช่วงทานมีอาการคันน้องลงแต่ก็มีขุยข้าวๆบ้างเล็กน้อย

 

ปัจจุบันเลิกทานเพราะกลัวว่าจะเป็อันตรายต่อสุขภาพในอนาคต แต่ซื้อโลชั่นมาทา

 

เพราะคิดว่าผิวอาจลอกคันเพราะแห้ง

 

เลยอยากรบกวนปรึกษาครับ ว่าอาการที่ผมเป็นนี้เป็นอะไรกันแน่ แล้วมีวิธีรักษาด้วยตัวเองอย่างไร

 

ขอบคุณครับ

 

ปล. ดูภาพได้ที่ด้านล่างครับ

http://haamor.com/media/images/webboardpics/610ae-19183-1.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/610ae-19183-2.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/610ae-19183-3.jpg

อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

12 มกราคม 2558 04:12:57 #2

ถ้าไม่มึความเสี่ยงทางเพศ เช่นไม่เคยเที่ยวหรือยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือเคยแต้ใช้ถุงยางทุกตรั้ง อาการที่ว่าน่าจะมาจากการที่หนังหุ้มปลายแพ้ ระคายเคืองสารที่ใช้ เช่น สบู่ยา ครีม เจลอาบน้ำ หรื้อโลชั่น ร่วมกับความอับชื้นเนื่องจากหนังหุ้มยังไม่เปิดหรือเปิดไม่สุดหรือรัดเวลาอวัยวะเพศแข็งตัวหรือรูดลงไม่ได้สุด จึงทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เช่นสบู่เด็ก ล้างเบาๆแล้วซับให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ ทายาที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ชนิด triamcinolone 0.02% + ยาเชื้อรา clotimazoleทาบางๆ เช้าและก่อนนอนหลังอาบน้ำ น่าจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ในกรณีที่เป็นบ่อยอาจต้องระวังความอับชื้นและงดใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้และถ้าหนังหุ้มยาวเกินไปอาจต้องขลิบเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น การขลิบหนังเป็นการทำศัลยกรรมที่ถือว่าไม่ซับซ้อน แพทย์ศัลยกรรมทั่วไปทำได้ครับ ต้องมีการฉีดยาชา ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงน่าจะเสร็จ ถ้ารักษาแผลให้ดี ประมาณ 2 อาทิตย์ แผลก็จะหายดี ประโยชน์ของการขลิบ คือ ทำความสะอาดง่ายไม่เกิดแผลเวลามีเพศสัมพันธ์และมีการวิจัยที่ทวีปแอฟริกาพบ ว่าการขลิบหนังหุ้มปลายช่วยลดการติดเชื้อเอดส์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ขลิบ 40% แต่ ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้

Anonymous

12 มกราคม 2558 15:40:05 #3

ขอบคุณครับ