กระดานสุขภาพ
สงสัยว่าใช่เริมไหมครับ | |
---|---|
10 พฤศจิกายน 2555 21:43:55 #1 คือเมือ 10 วันก่อนผมมีเม็ดแดงเล็กๆขึ้นที่กลางๆอวัยวะเพศ ซึ่งผ่านไปซักสามวันมันใหญ่ขึ้นและมีหัว ผมนึกว่าเป็นสิวจึงบีบออก แต่ผ่านไปอีกวันผมสังเกต ว่าข้างๆบริเวณที่บีบกลายเป้นเม็ดใสเล็กๆขึ้นมาเป็นจำนวนมาก สองกลุ่ม ด้วยความมือบอนผมจึงบีบมันทั้งหมดเลย (พลาดมากที่บีบ) แล้วพอไปสองวันมันกลายเป็นผีมีหนองขึ้นติดกันเป็นแพ คันและบวมด้วย เลยไปหาเมดิคประจำที่ทำงานเขาเจาะหนองออกทำแผล แล้วให้ยา anti biotic มาทานจนครบโดส พอไปให้เขาตรวจอีกครั้งแผลมันดีขึ้นแต่ยังบวมอยู่ พร้อมกับมีตุ่มใสๆ ซึ่งเมดิคคาดว่าจะเกิดจากเริม เขาจึงให้ยามาทานพร้อมยาทา (Vilerm) ซึ่งตอนนี้ผ่านมาได้ 1 วันอาการบวมลดลง แต่บริเวณแผลที่กำลังแห้งมีหนองขึ้นมาบางๆที่ผิว แล้วก็มีอาการแปล๊บๆเจ็บที่ต้นขาขวา อยากทราบว่าผมเป็นเริมหรือเปล่าครับ ถ้าใช่นี่ที่ผมมีหนองและบวมคือมันติดเชื้อจากการที่ผมไปบีบมัน เลยทำให้หายช้าใช่ไหมครับ พรุ่งนี้ผมจะลองอัพรูปดูเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ ปล.ผมทำงานอยู่ที่ห่างไกล จริงๆเมดิคสามารถ consult กับหมอที่โรงพยาบาลได้ แต่ว่ามันจะมีปัญหาเกี่ยวกับงานแล้วก้บริษัทจึงขอรบกวนคุณหมอจากในห้องนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ |
|
อายุ: 27 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 90 กก. ส่วนสูง: 183ซม. ดัชนีมวลกาย : 26.87 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
12 พฤศจิกายน 2555 07:05:14 #2 จากที่เล่ามาน่าจะเป็นเริมครับ โดยเฉพาะถ้าก่อนเป็นประมาณ 1-2 อาทิตย์ มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น เที่ยวผู้หญิง ไม่ใช้ถุงยาง มีคู่นอนหลายคน ในกรณีที่เป็นครั้งแรกจะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัมทุก 4 ชม. 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อเริม (ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่เรียกว่า เฮอร์ปีส์ Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรงและหายเองได้ หรืออาจใช้ยาทา Vilerm แต่ถ้ารุนแรงก็ต้องใช้ยากิน aciclovir ดังกล่าวข้างต้น ที่สำคัญต้องระวังการมีเพศสัมพันธ์ เพราะจะติดต่อได้ง่ายครับ โดยเฉพาะตอนที่เป็นตุ่มน้ำและตอนที่เป็นแผลจะมีเชื้อไวรัสออกมามากครับ
นพ.อนุพงศ์ |
Anonymous |
12 พฤศจิกายน 2555 15:25:46 #3 ขอบคุณมากครับคุณหมอ ตอนนี้หายบวมลงไปเยอะแล้วแผลที่เป็นหนองก็เริ่มแห้งตกสะเก็ด ต่อมน้ำเหลืองที่ขาก็ยุบลง ไม่เจ็บที่ต้นขาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะหายในอีกไม่นาน แต่ผมมีข้อสงสัยว่า ทำไมผมถึงเป็นครับ เนื่องจากผมมีแฟนคบอยู่คนเดียวสองปีกว่า แล้วก็เลิกเที่ยวมานานหลายปี ใส่ถุงยางตลอด ตรวจเลือดทุกปี ออกกำลังตลอด มันจะมีสาเหตุอื่นนอกจากเพศสัมพัธ์ไหมครับ หรือผมอาจจะได้รับเชื้อมานานโดยไม่รุ้ตัวแต่เพิ่งมีอาการของโรคครับ |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
13 พฤศจิกายน 2555 04:03:18 #4 เริมเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก อาจมีการติดต่อจากการสัมผัสเชื้อด้วยวิธีอื่นได้บ้างแต่ค่อนข้างน้อย มีการศึกษาพบว่าถึงแม้จะไม่มีแผลหรือตุ่มน้ำใสก็สามารถตรวจพบไวรัสเริมได้ในสารคัดหลั่ง เช่นน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอดหรือปากมดลูก ในกรณีที่มีออรัลเซ็ก ก็อาจพบเชื้อในช่องปากหรือเป็นแผลบริเวณริมฝีปากก็ได้ครับ ระยะฟักตัวตั้งแต่รับเชื้อจนปรากฎอาการประมาณ 1 อาทิตย์ แต่บางรายอาจนานถึง 3 อาทิตย์ครับ
นพ.อนุพงศ์ |
Appl*****2 |
24 พฤศจิกายน 2555 12:38:36 #5 ในกรณีเป็นซ้ำจะดูยังครับว่า ขนาดไหนถึงต้องกินยา นอกจากทายาอย่างเดียว และต้องกินยาปริมาณเท่าไหร่ครับ |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
26 พฤศจิกายน 2555 02:34:31 #6 ในกรณีที่เป็นซ้ำ ถ้ามีอาการรุนแรง เช่นมีตุ่มน้ำหลายกลุ่มพร้อมๆกัน แผลเจ็บ หายช้า ก็ต้องกินยา ACICLOVIR ครับ ขนาด 200 มิลลิกรัมทุก 4 ชม. หรือ 400 มิลลิกรัม วันละ 3ครั้งหลังอาหารประมาณ 5-7 วัน น่าจะหายครับ มีการศึกษาพบว่ายาทาจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อทาแต่เนิ่นๆตอนที่ยังเป็นตุ่มน้ำอยู่ ถ้าเป็นแผลแล้ว หรือเป็นเกิน 48-72 ชม. แล้ว ยาทาจะไม่ค่อยได้ผลครับ เพราะแผลสามารถหายเองได้อยู่แล้ว
นพ.อนุพงศ์ |
Anonymous |
23 มีนาคม 2559 10:31:51 #7
แล้วถ้าจะกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง
ต้องกินยาอะไร
ขนาดเท่าไหร่ กินยังไง
ขอหลายๆแบบก็ดีคับจะได้ดูว่าสะดวกอย่างไหน
ขอบพระคุนครับ
|
Anonymous