กระดานสุขภาพ

ใส่ถุงยางอนามัยแล้วแล้วกินยาคุมฉุกเฉินแล้วแต่ก็ยังกังวล
Anonymous

17 ธันวาคม 2557 02:08:54 #1

รบกวนถามคุณหมอนะคะ คือเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมานี้ดิฉันมีเพศสัมพันธ์ป้องกันโดยการใส่ถุงยางอนามัยแล้ว(ถุงยางอนามัย"หนา") ถุงยางอนามัยไม่มีรอยฉีก ขาดหรือรั่วเลย แต่หลังจากมีเพศสัมพันธ์เสร็จก็สังเกตุเห็นน้ำหรือว่าเหงือก็ไม่รู้นะคะแยกไม่ออกเลย อยู่ที่โคนถุง ไม่ทราบว่ามันจะทำให้ท้องได้รึป่าวคะ แต่หลังจากนั้นก็ไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมากิน เม็ดแรกกินภายใน 24 ชม.แต่เม็ดที่ 2 กินหลังจาก 12 ชม.ไปแล้วค่ะ ที่จริงแล้วเม็ดที่2เขาให้กินก่อน12ชม.ใช่ไหมคะ แล้วถ้าหลังจากกินยาคุมฉุกเฉินแล้วประจำเดือนจะมาตอนไหนคะ วันนี้วันที่ 17 แล้วประจำเดือนยังไม่มาเลย กังวลมากเลยค่ะ ป้องกันแล้วแต่ก็ยังกังวลอยู่ รบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

อายุ: 17 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 45 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.73 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

19 ธันวาคม 2557 15:57:40 #2

โดยปกติแล้ว หากในการมีเพศสัมพันธ์นั้นใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง สวมใส่ก่อนสอดใส่อวัยวะเพศ ก็ถือว่าป้องกันการตั้งครรภ์นะครับ ส่วนน้ำหรือนำ้ที่กล่าวมานั้น อาจเป็นสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงที่ออมาช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ได้ครับ แต่หากว่ามีปัญหา ขาด รั่ว หรือ ปริแตก หรือไม่ ก็อาจใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินได้นะครับ ซึ่งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ ซึ่งการทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์ได้ครับ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้ยนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ

เรื่องถุงยางอนามัยที่มีปัญหานั้น โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยนั้น ค่อนข้างรัดกุมมากนะครับ การที่จะขาด รั่ว หรือ ปริแตกนั้นเกิดได้น้อยมากแต่หากเกิดมักเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธีครับ ซึ่งหมอขอแนะนำการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องสักนิดนะครับ ซึ่งมีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ