กระดานสุขภาพ

ขอสอบถามเรื่องประจำเดือนขาด หลังมีเพศสัมพันธ์
Brab*****1

8 ธันวาคม 2557 13:15:16 #1

รายละเอียดก้คือ เคยสอดใส่นิดเดียวครั้งแรก 10กันยา ให้ทานยาคุมฉุกเฉินหลังจากนั้น2ชั่วโมง  ปจดมาวันที่ 19 กันยายนตรงตามรอบปกติ มาปกติหลายวัน ครั้งก่อนมาวันที่16 สิงหาคม แล้วมาครั้งถัดไปวันที้ 25 ตุลาคม(เลท3วัน)
แล้วก้มีเซกจริงๆครั้งแรกวันที่23ตุลาคม หลังจากนั้นมีอีก1-2ครั้ง ครั้งสุดท้ายวันที่ 20 พฤศจิกายน โดยทุกๆครั้งใส่ถุงยางตลอด
โดยเสดเพียงครั้งเดียว คือครั้งแรก หลังจากนั้นก้ไม่เสดอีกเลยคือ ทำให้ฝ่ายหญิงเสดแล้วก้ให้เค้ามาช่วยต่อ โดยไม่ได้สอดใส่ (ใส่ถุงยางตลอด)
หลังจากมีครั้งสุดท้ายคือวันที้ 20 พฤศจิกายน ประจำเดือนปกติจะมาวันที่ 28 พฤศจิกายน แต่จนถึงวันนี้ 8 ธันวาคม ประจำเดือนก้ยังไม่มา
เคยตรวจปัสสาวะไปตอนวันที่ 1ธันวาคมช่วงเย็น
และตรวจอีกครั้งวันที่2ธันวาคมช่วงเช้าหลังตื่นนอน
ผลที่ตรวจคือขึ้นขีดเดียวเข้ม ทั้ง2 ครั้ง ไม่มีรอยจางเลย
ก่อนหน้านี้กินยาสตรีเพ็นภาคไปตอนเดือนก.ย. ประจำเดือนก้อมา แต่เดือนนี้กินแล้วประจำเดือนก้อยังไม่มา
และค.รุสึกตอนนี้เหมือนประจำเดือนจะมาแต่ก้อไม่มา
มีตกขาวมีอาการปวดท้อง ตอนนี้อยุ่ที่จีน ตั้งแต่วันที้3 ธันวาคม อากาศหนาวมาก ต่ำกว่า10 องศา เครียดมากด้วย อยากทราบว่าจะท้องรึเปล่า หรือ ประจำเดือนมาช้าเพราะอะไร

 

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 158ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.23 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Brab*****1

9 ธันวาคม 2557 10:38:54 #2

ช่วยตอบให้ด้วยนะครับ อยากจะรู้ว่าจะท้องมั้ย ประจำเดือนยังไม่มาเลยครับ 

Haamor Admin

(Admin)

9 ธันวาคม 2557 15:47:16 #3

เรียน คุณ brabbitz1

เนื่องจากการตอบคำถามของทีมคุณหมอขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น ความยากของคำถาม ความสะดวกของคุณหมอ ฯลฯ คุณหมอบางท่านติดภารกิจในบางครั้งไม่สามารถตอบในทันทีได้ บางคำถามอาจต้องรอหลายวันหน่อย ดังนั้นหากรอได้ทุกคำถามมีคำตอบให้แน่นอนค่ะ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

13 ธันวาคม 2557 13:34:46 #4

หมอต้องขออภัยด้วยครับที่ตอบล่าช้า ส่วนคำถามนั้น หมอขอตอบเป็นประเด็นดังนี้ครับ

1. หากเพศสัมพันธ์นั้น มีการสอดใส่อวัยวะเพศ แม้จะไม่ได้หลั่งด้านในก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ เนื่องจากในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์จะมีอสุจิออกมากับสารคัดหลั่งที่ออกมาในช่วงนี้ แม้ปริมาณอสุจิจะน้อย ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ ดังนั้นในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่ไม่ได้ป้องกันนั้น มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์แน่นอนครับ

2. ซึ่งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว หากอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรทานยานี้นะครับ และ หากทานถูกต้อง ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ ดังนั้น ผลของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้นอาจส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ ก็เป็นสาเหตุทำให้ประจำเดือนในรอบต่อๆมานั้น มาไม่สม่ำเสมอได้เลยครับ

3. ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ

4. เรื่องยาสตรีหรือสารต่างๆที่มีผลในแง่นี้นั้นอาจเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้ ซึ่งจากประวัติที่กล่าวมานั้น มีการทานยาในกลุ่มนี้และเป็นสาเหตุของความผิดปกติของรอบประจำเดือนได้เลยครับ ซึ่งตามความเห็นของหมอแล้ว ยาที่กล่าวมานั้นมีจะมีสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ที่เรียกว่า phytoestrogens ครับ ซึ่งการควบคุมปริมาณของสารที่ออกฤทธ์ิคล้ายฮอร์โมนนี้ที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ เนื่องจากมีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลต่อทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ และ อาจยังทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก กะปริดกะปรอยได้อีกด้วย ดังนั้น ในความเห็นของหมอ หมอคิดว่า ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะ นอกจากจะไม่รักษาที่สาเหตุแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่อีก เช่น เลือดออกผิดปกติ เป็นต้นครับ

5. ในเรื่องของตกขาวนั้น เบื้องต้นแล้ว ตกขาวที่อาจมีได้ช่วงนี้ ก็เป็นผลจากฮอร์โมนที่สูงขึ้นหลังจากไข่ ซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางรอบเดือนครับ และสามารถพบสารคัดหลั่งนี้มากขึ้นจนถึงช่วงใกล้ๆมีประจำเดือนได้ครับ แต่จะไม่มีอาการผิดปกติ เช่น คัน กลิ่นเหม็น หรือ เลือดปนครับ ซึ่งไม่ผิดปกตินะครับ ดังนั้น หมอแนะนำให้สังเกตุอาการไปก่อน แต่หากหากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

โดยสรุป หากตรวจการตั้งครรภ์ตามที่หมอกล่าวไปข้างต้นแล้วปกติ อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นสาเหตุได้ของรอบประจำเดือนที่ผิดปกตินั้น คือ อาการที่เปลี่ยนแปลงไปครับ ดังนั้น หมอแนะนำให้มาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ และหมอคิดว่าน่าจะจำเป็นต้องได้ยาช่วยปรับรอบประจำเดือนนะครับ