กระดานสุขภาพ

กลัวมากเลยคะ
Anonymous

1 พฤศจิกายน 2557 03:13:27 #1

พี่คะขอถามเป็นข้อ ๆ นะคะ

1.ประมานเดือนกันยายน ได้กินยาคุมแุกเฉินไป แล้วมีเลือดออกหลังจากนั้นประมาน 1 สัปดาห์คะ ประมาน 3-4 วัน หลังจากนั้นก้อไม่มีประจำเดือนมาอีกเลย จะท้องมั้ยคะ

2.ประมานวันที่ 4 ของการมีเลือดออกแล้วมีมีเพศสัมพันธ์แล้วถุงยางเกิดแตก เลยซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินอีกแผงคะคะ กินตามฉลากบอกทุกอย่างคะ หลังจากนั้นประจำเดือนก้อไม่มาอีกเลยจะท้องมั้ยคะ 

3.ไม่ใส่ถุงยางแล้วแตกนอกบริเวณขนอวัยวะเพศอะคะ จะท้องมั้ยคะ 

4.เดือนตุลาคมได้มีตกขาวเหมือนน้ำมูกใส ๆ เหนียว ๆคะ คืออะไรคะ ประมานกลางเดือนก้อเจ็บนมจนถึงตอนนี้ประจำเดือนยังไม่มาเลยคะ จะท้องมั้ยคะ  เดือนนี้ก้อตรวจหลายรอบดูแล้วพอสมควรนะคะ ล่าสุดตรวจเมื่อวาน31/10/2557 ก้อขึ้นขีดเดียวคะ วันนี้วันที่ 1/11/2557 ก้อยังเจ็บนมอยู่คะ แต่ประจำเดือนยังไม่มาสักที ช่วงนี้ก้อเครียดด้วยคะ เพราะประจำเดือนยังไม่มา มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเครียดมั้ยคะ  ซื้อยาสตรี***มากินได้มั้ยคะ 

อายุ: 16 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 159ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.36 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

2 พฤศจิกายน 2557 04:09:11 #2

หมอขอตอบเป็นประเด็นดังนี้นะครับ

1. หากการมีเพศสัมพันธ์นั้น ไม่มีการสอดใส่อวัยวะเพศ มีเพียงการถูกันเพียงภายนอกเท่านั้น หรือ อสุจิที่อยู่บริเวณภายนอกช่องคลอดนั้นถือว่า ไม่มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้เลยครับ และ ในแง่ของหลักฐานทางการแพทย์นั้น ไม่เคยปรากฎมีการตั้งครรภ์จากลักษณะที่กล่าวมานะครับเช่นเดียวกันครับ

2. ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันนั้น หากมีการสอดใส่อวัยวะะเพศก็มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์แน่นอนครับ การทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ ซึ่งการทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์ได้ครับ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้ยนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ดังนั้น เลือดที่ออกมานั้นเป็นผลจากยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ

3. หากในการมีเพศสัมพันธ์นั้นใช้ถุงยางอนามัยแล้วมีปัญหา ขาด รั่ว หรือ ปริแตก แม้จะได้ทันได้หลั่งด้านใน ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้นะครับ ซึ่งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ แต่จากประวัติ มีการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซ้ำไปอีกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะครับ และ ก็ไม่ควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ซ้ำไปอีกในช่วงที่ไม่แน่ใจว่านะตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะ ปกติยานี้จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และ จะผลข้างเคียงมากได้ ประกอบกับประสิทธิภาพจะไม่ดี และ ก็จะมีเลือดออกผิดปกติมาได้ จนทำให้สับสนได้ว่า เลือดที่ออกมาคืออะไร เช่นในกรณีนี้ครับ ดังนั้น ส่ิงที่หมอฝากได้คือ การป้องกันการตั้งครรภ์นั้น ควรใช้วิธีที่ป้องกันก่อนมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้น การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น นอกจากประสิทธิภาพจะต่ำกว่าแล้ว ยังมีผลข้างเคียงมากกว่าอีกด้วยครับ ด้วยความหวังดีครับ

4. เรื่องถุงยางอนามัยที่มีปัญหานั้น โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยนั้น ค่อนข้างรัดกุมมากนะครับ การที่จะขาด รั่ว หรือ ปริแตกนั้นเกิดได้น้อยมากแต่หากเกิดมักเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธีครับ ซึ่งหมอขอแนะนำการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องสักนิดนะครับ ซึ่งมีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ

5. โดยปกติแล้วหลังทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีสารคัดหลั่งในช่องคลอดได้เล็กน้อยครับ แต่จะไม่ถึงกับเป็นตกขาว หรือ ในช่วงก่อนมีประจำเดือนก็จะมีมูกหรือตกขาวได้เล็กน้อย ดังนั้น หากตกขาวลักษณะดังกล่าวนั้น มีลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

6. ในเรื่องของการทานสตรีนั้น ซึ่งตามความเห็นของหมอแล้ว ยาที่กล่าวมานั้นมีตัวยาเป็นยาที่มีประโยชน์ครับ แต่การควบคุมปริมาณของสารที่ออกฤทธ์ิคล้ายฮอร์โมนที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ เนื่องจากมีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลต่อทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ และ อาจยังทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก กะปริดกะปรอยได้อีกด้วย ดังนั้น ในความเห็นของหมอ หมอคิดว่า ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะ นอกจากจะไม่รักษาที่สาเหตุแล้ว ยังอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่นั้น เกิดจากอะไร ซึ่งจากที่หมอกล่าวไป ทั้งเลือดที่ผิดปกติและรอบประจำเดือนเดือนนี้ที่ไม่มาหรืออาจเลือดออกไปหรือกะปริดกะปรอยนั้น เกิดจากผลของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ อย่างที่หมอกล่าวไป หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ