กระดานสุขภาพ

แบบนี้เป็นเริมรึเปล่าค่ะ
Anonymous

27 ตุลาคม 2555 08:47:30 #1

หลังจากมีเพสสัมพันธ์แบบใส่ถุงยางประมาณ2-3วันตัวดิฉันมีอาการคันที่ปากช่องคลอดปัสสาวะแสบร้อน เลยใช้ยาสอด ทานยาแก้อักเสบและใช้ยาทาไม่กี่วันอาการก็ดีขึ้นและเป็นปกติส่วนแฟนมีอาการคันที่เนินองคชาติ แต่คิดว่าเป็นเพราะอับชื้นธรรมดาหลังจากนั้นมาสังเกตอีกทีคือมีตุ่มใส่ที่โคนองคชาติ มีอาการปวดๆเวลาเดินและแสบที่แผล เมื่อตุ่มแตกก้เกิดเป็นเหมือนแผลตกสะเก็ด ที่รอบๆโคนองคชาติ บางครั้งจะมีอาการปวดและไข้ ไม่ได้ไปพบแพทย์แต่มีการทานยาลดไข้และ อะม๊อกซิลิน (อะม๊อกซี่)ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดแผลและใช้ยาควอลิเดอร์ทา อาการทุเลาลง แผลตกสะเก็ดเริ่มดีขึ้น แต่รู้สึกว่าผิวบริเวณแผลบางลง  หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนได้มีเพศสัมพันธ์โดยใส่ถุงยางอีก 1 ครั้ง และเกิดอาการคันพร้อมกับมีตุ่มดังรูปที่แนบมาอีก ซึ่งครั้งนี้ดิฉันไม่มีอากาีผิดปกติอะไรเลยค่ะ อย่างนี้เป็นโรคเริมแน่นอนใช่ไหมคะ


ดิฉันเคยเป็นตกขาวค่ะรักษาดดยใช้ยาสอดและยาทาน ซึ่งในระยะนี้ไม่ได้มีอากาีตกขาวผิดปกติเลยค่ะ และใส่ถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่เคยเปลี่บยนคู่นอนค่ะ 

 

http://haamor.com/media/images/webboardpics/1cc1a-1679.jpg

อายุ: 39 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 56 กก. ดัชนีมวลกาย : 0.00 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

28 ตุลาคม 2555 04:51:26 #2

จากรอยโรคและอาการ ดูเหมือนเป็นตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ มีอาการคันหรือแสบร้อนรอบ ๆ ตุ่มใสนี้ ต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน และตกเสก็ด เป็นลักษณะของ เริม ครับ (Herpes simplex) ซึ่งติดต่อกันได้ทางการสัมผัสโดยตรง เช่น การจูบ การมีเพศสัมพันธ์ และโดยการสัมผัสสิ่งของที่ติดเชื้อ การใส่ถุงยางอาจช่วยป้องกันได้แต่ไม่ทั้งหมดครับ

 

เนื่องจากโรคเริมหายได้เอง การรักษาหลักคือการรักษาตามอาการ เช่น

 

1. ใช้ยากลุ่ม พาราเซตตามอล ไอบูโปรเฟน บรรเทาอาการเจ็บปวด

2. การนำผ้าก๊อซมาชุบน้ำเกลือหมาดๆ วางลงด้านบนของแผล

3. การให้ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovia ซึ่งเป็นยากลุ่มที่ฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ช่วยลดความรุนแรงของโรค แต่หากตุ่มน้ำใสแตกออกแล้ว ไม่แนะนำให้ใช้แล้ว เพราะช่วงนี้ไวรัสหยุดการเพิ่มจำนวนแล้ว

 

สิ่งที่สำคัญคือโรคนี้จะไม่ได้หายขาดนะครับ บางครั้งอาการจะกลับมาเป็นซ้ำได้หาก นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียด วิตกกังวล หรืออยู่ในช่วงที่สุขภาพอ่อนแอ ป่วย ไม่ค่อยสบาย ซึ่งระหว่างมีรอยโรคควรงดเพศสัมพันธ์ การสัมผัสรอยโรคโดยตรง สวมชุดที่สบายไม่แน่นหรือคับเกินไป ในกรณีเป็นครั้งต่อไป หมอแนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับยามาทานทันทีที่มีอาการ จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น

Anonymous

29 ตุลาคม 2555 15:31:47 #3

1.ที่ว่าตุ่มน้ำใสแตกแล้ว หมายถึง ถึงกินยาไปห็ไม่มีผลเหรอครับ  ต้องให้ขึ้นตุ่มใหม่ถึงกินใช่หรือเปล่าครับ

2. คำว่ารอยโรคนี่ หมายถึงยังงัยครับ ถ้าแผลที่แห้งแล้งถือว่าเป็นหรือเปล่าครับ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่า

    หาย ที่มีเพศสัมพันธ์ได้ครับ

3. เนื่องจากโรคนี้ไม่หายขาดเพราะมีเชื่อแฝง ถ้าตอนนี้หายแล้ว จะมีโอกาสที่จะแพร่เชื่อไปติดคนอื่นได้หรือเปล่าครับ

  เช่น มีเพศสัมพันธ์ กินน้ำแก้วเดียวกัน  หรือการจูบ

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

30 ตุลาคม 2555 08:53:51 #4

  1. ช่วงที่ไวรัสแบ่งตัวแพร่กระจายอยู่คือช่วงตุ่มใส เมื่อแตกและตกสะเก็ดแล้ว ไวรัสหยุดแบ่งตัวแล้วการทานยาก็ไม่มีประโยชน์ครับ หากเป็นซ้ำ ควรทานยาช่วงกำลังขึ้นครับ จะลดช่วงเวลาที่เป็นและความรุนแรงได้

  2. รอบโรค คือ ตุ่มน้ำใสและต่อมาเป็นสะเก็ดที่ละครับ หายแล้วมีเพศสัมพันธ์ได้คือ เห็นลักณะแผลหรือรอยโรคแห้งแล้ว เป็นเนื้อปกติครับ

  3. อย่างที่หมอกล่าวไป ช่วงติดต่อคือช่วงตุ่มน้ำใสครับ หากหายแล้ว ไม่ติดแล้วครับ
Anonymous

9 พฤศจิกายน 2555 17:03:44 #5

1. หลังจากเป็นตุ่มน้ำใสแล้วและต่อมาเป็นสะเก็ดแล้ว จะเหลือเป็นรอยแดง ๆ อยู่อันนี้ใช่เริมหรือเปล่าครับ ?

2. ถ้าเราไม่แน่ใจว่าจะเป็นเริมหรือเปล่า แต่เราก็ทายาป้าย เช่น เซวิน ครีม เลยได้หรือเปล่าครับ ?

Admi*****n

10 พฤศจิกายน 2555 07:03:08 #6

คุณหมอขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการวินิจฉัยดังต่อไปนี้ครับ

  1. ตุ่มน้ำใสนี้เกิดในบริเวณไหนของร่างกาย

  2. เกิดหลังจากไปทำอะไรมา

  3. เกิดมาได้นานเท่าไรแล้ว

  4. ผู้ถามอายุเท่าไร

 

ขอบคุณครับ

Anonymous

10 พฤศจิกายน 2555 07:31:22 #7

1. เกิดตรงบริเวณ ขนเพชรครับ

2. ไม่แนใจเหมือนกันครับ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกคัน เลยเกา ยิ่งเกา ยิ่งมันส์ จากนั้นก็เป็นตุ่มแดง  จากนั้นก็เป็นตุ่มเหมือนเป็นหนองครับ บางครั้งก็เป็นเลือดด้วยครับ และยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์นะครับ

3. เกิดมาได้ น่าจะเป็นหลายเดือนแล้วครับ เป็น ๆ หาย ๆ

4. อายุ 34 ครับ เพศชาย

ให้ข้อมูลเพิ่มเติมตามนี้ครับ ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกันหรือเปล่า คือ

1. ช่วงที่เป็นนั้น พักผ่อนน้อยมากครับ และก็เครียดเรื่องงานด้วยครับ

2. แม่เป็นเิริมอยู่ครับ หาหมอแล้ว และก็เป็น ๆ หาย ๆ ครับ

ขอบคุณครับ

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

12 พฤศจิกายน 2555 06:45:29 #8

ถ้ายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ น่าจะตัดเรื่องแผลเริมได้เลยครับ ถึงแม้ว่าแม่จะเป็นเริม เพราะจะติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลักเท่านั้น ลักษณะที่เล่ามาร่าจะเป็นได้ 2 สาเหตุ

  1. เกิดจากเชื้อรา เนื่องจากความอับชื้น เริ่มจากมีตุ่มแดง เกาเป็นแผลหรือมีตุ่มหนองจากากรติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย รักษาโดยการใช้ยาฆ่าเชื้อราประเภท clotrimazole, itraconazole กินและทา ประมาณ 1-2 อาทิตย์ น่าจะดีขึ้นครับ

  2. เกิดจากการระคายเคืองหรือแพ้สารที่มาสัมผัส เช่นสบู่ยาหรือเจลอาบน้าแล้วมีการอักเสบร่วมด้วย รักษาโดยใช้ยาทาแก้แพ้ที่มีเสตียร์รอยด์อ่อนๆ เช่น triamcinolone 0.02% ทาเช้าเย็น ถ้าไม่แน่ใจว่ามีเชื้อราร่วมด้วยหรือไม่ ก็ให้ทายาเชื้อราร่วมด้วย เช่น clotrimazole+ triamcinolone ก็น่านะดีขึ้นใน 1 อาทิตย์ครับ

 

ทั้ง 2 กรณี ให้รักษาความสะอาดโดยใช้สบู่อ่อนๆเช่น สบู่เด็ก ห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ สบู่ยา เพราะจะแพ้ได้ง่าย หลังทำความสะอาดซับเบาๆให้แห้งทุกครั้ง ทำเช้าเย็นหลังอาบน้ำ จะทำให้ไม่เป็นซ้ำครับ

 

นพ.อนุพงศ์

Anonymous

12 พฤศจิกายน 2555 09:20:18 #9

ขอบคุณ คุณหมอ มากครับ

Anonymous

24 พฤศจิกายน 2555 13:19:39 #10

หลังผมจากที่เป็นซ้ำครั้งที่ 2(ตอนเป็นทายา Virogon กับกินยา Virogon 400)

ตรงเนินเหนืออวัยวะเพศด้านซ้ายบวมขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าตอมน้ำเหลืองหรือเปล่าครับ

พอแผลหายแล้วก็ยังบวมอยู่ จนผ่านมาประมาณเกือบเดือนเป็นซ้ำขึ้นอีก

ตรงเนินก็ยังบวมอยู่ ไม่ทราบว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ และต้องทำยังงัยครับ

 

 

 

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

26 พฤศจิกายน 2555 02:30:58 #11

อาจจะเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบก็ได้ครับ การที่ติดเชื้อเริมและมีอาการคร้งแรก จะเป็นค่อนข้างมากและมีการอัเสบของต่อมน้ำเหลืองข้างขาหนีบได้ครับ อาจจะมีอาการเจ็บเล็กน้อยได้ ซึ่งต่อมน้ำเหลืองนี้ แมว่าแผลเริมจะหายแล้ว อาจยังเป็นก้อนโต พอคลำได้ประมาณ 1-2 ซมใ แต่จะไม่มีอาการเจ็บ และไม่เป็นอันตรสยแต่อย่างไรครับ ในกรณีที่ไม่แน่ใจ ก็พบแพทย์ได้ครับ

 

นพ.อนุพงศ์

Appl*****2

1 ธันวาคม 2555 16:59:51 #12

1.แล้วต่อมน้ำเหลืองที่ยังโตอยู่นี่มันจะยุบไปเองหรือเปล่าครับ

2. บางครั้งรู้สึกแปล็บ ๆเป็นแนวเส้นที่ขาจากแถวขาหนีบลงไป ฝั่งที่ต่อมน้ำเหลืองโต

   อันนี้เพราะอะไรครับ