เรียน คุณ Skype,

คงตอบยากนะครับ การรับประทานล่าช้ากว่าที่กำหนด จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น โดยหากรับประทานยาได้อย่างถูกต้อง ความเสี่ยงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ารับประทานล่าช้าไปกว่าที่กำหนด อาจเพิ่มสูงถึง 8 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยส่วนบุคคลที่ว่า ไม่ใช่ช่วงที่มีไข่ตก หรือปริมาณอสุจิมีไม่มากพอ หรือไม่สามารถเข้าถึงจุดที่พบกับไข่ได้พอดี

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้นทางการแพทย์มีใช้เพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ได้แก่ เมื่อถูกข่มขืน หรือ เมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึม ไม่นิยมใช้พร่ำเพรื่อ เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนสูงมาก 1500 ไมโครกรัม เทียบกับชนิดปกติ 50-75 ไมโครกรัม จากข้อมูลยา ไม่แนะนำให้รับประทานยาเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากอาจเกิดภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก จนเกิดการตกเลือดถึงแก่ชีวิตได้ แต่จากข้อมูลศึกษาวิจัยพบว่าสตรีที่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะมีอัตราเสี่ยงกในการเกิดมะเร็งอวัยวะต่าง ๆมากกว่าสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ มะเร็งที่พบ เช่น เต้านม มดลูก รังไข่ หรือ ตับ เป็นต้น

หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน แนะนำให้ใช้วิธีการสวมถุงยางอนามัย เนื่องจากจะช่วยคุมกำเนิดแล้วยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หูดหงอนไก่ พยาธิในช่องคลอด หรือเลวร้ายสุด คือเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษา นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัส เอชพีวี ที่เป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็งปากมดลูกในหญิง หรือมะเร็งองคชาติในเพศชายอีกด้วย

ช่วงนี้ให้สังเกตว่าประจำเดือนมาตามปกติหรือไม่ แต่อาจล่าช้าจากเดิม 5-7 วัน เนื่อ่งจากปริมาณฮอร์โมนเพศที่ค่อนข้างสูงในยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ถ้าเกินจากกำหนด 2 สัปดาห์ แนะนำให้ใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ หรืออาจพบแพทย์เพื่อเจาะเลือดตรวจฮอร์โมนว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเรา

การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์