กระดานสุขภาพ

ถุงยางขาด ประจำเดือนไม่มา ตรวจแล้วไม่เจอ มีโอกาสท้องไหม
Sak2*****7

7 สิงหาคม 2557 05:58:51 #1

มีเพศสัมพันธ์กับแฟนเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 57 (ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ไข่ตกพอดี)
เกิดถุงยางขาดห่างจากส่วนปลายประมาณ 1 นิ้ว
แต่ไม่ได้หลั่ง จึงเปลี่ยนถุงยางใหม่อีกครั้ง คราวนี้หลั่งแต่ก็สวมถุงยางไว้
จากนั้นประจำเดือนที่ควรจะมาประมาณวันที่ 27 -28 ก.ค. ไม่มา
นึกว่ามาช้าเฉยๆ จึงกินยาสตรีเพ็ญภาค ไป 3 ขวด (หยุดกินวันเสาร์)
แต่ก็ยังไม่มา จึงไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจจวันจันทร์ ผลออกมาไม่ท้อง
จึงได้ปรึกษาเภสัช โดยได้รับคำแนะนำว่า โอกาสที่จะท้องประมาณ 5 % หรืออาจไม่เกิดเลย
สงสัยเราเครียด (ก็เครียดจริงๆ) เภสัชจึงจัดยาปรับโฮร์โมนให้ทาน 3 วัน ตอนนี้ลุ้นมาก
มันจะท้องไหม ...รบกวนตอบด้วย...

อายุ: 27 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 46 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.97 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

8 สิงหาคม 2557 03:54:12 #2

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์นะครับ แต่ค่อนข้างจะน้อยครับ ส่วนหากต้องการว่าตั้งครรภ์หรือไม่นั้น ก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ

อีกประการหนึ่งในเรื่องประจำเดือนที่ผิดปกตินั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้ นอกเหนือจากการตั้งครรภ์ ก็มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องฮอร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด เป็นต้นครับ ส่วนการทานยาในกลุ่มที่กล่าวมานั้น ซึ่งตามความเห็นของหมอแล้ว ยาที่กล่าวมานั้นมีตัวยาเป็นยาที่มีประโยชน์ครับ แต่อาจมีส่วนผสมของสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนผู้หญิง (Phytoestogen) ซึ่งการควบคุมปริมาณของสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ เนื่องจากมีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลต่อทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ และ อาจยังทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก กะปริดกะปรอยได้อีกด้วย ดังนั้น ในความเห็นของหมอ หมอคิดว่า ไม่ควรทานยาประเภทนี้เพื่อการรักษาเรื่องประจำเดือนผิดปกตินะครับ เพราะ นอกจากจะไม่รักษาที่สาเหตุแล้ว ยังอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่นั้น เกิดจากอะไร

ส่วนในเรื่องยาปรับฮอร์โมนนั้น ก็ยังไม่ควรทานหากไม่แน่ใจว่าความผิดปกตินี้คืออะไร ซึ่งจากประวัติ เลือดประจำเดือนที่ไม่มานั้น หมอคิดว่า เกิดจากผลของยาที่กล่าวไปข้างต้นครับ การทานยาปรับฮอร์โมนนี้ไปก็เป็นยาในกลุ่มฮอร์โมนเช่นกัน หากทานไม่ถูกต้องและไม่มีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสมกับสาเหตุ อาจทำให้มีความผิดปกติเช่นนี้และส่งผลต่อให้สับสนว่าเลือดประจำเดือนมาหรือไม่มาจากอะไรกันแน่ ดังนั้น ในความคิดเห็นของหมอ หมอแนะนำให้หยุดยาที่กล่าวมาก่อนนะครับ และ ลองสังเกตุอาการผิดปกติดู หากประจำเดือนมาไม่เป็นรอบ ไม่สม่ำเสมอ กะปริดกะปรอยอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

Sak2*****7

8 สิงหาคม 2557 10:52:22 #3

ขอบคุณค่ะสำหรับคำตอบ แต่ก็ยังไม่หายกังวล...เดี๋ยวยังไงจะตรวจปัสสาวะอีกครั้งหนึ่ง ได้ผลยังไงจะบอกอีกที....ส่วนในเรื่องของยาฮอร์โมน เภสัชได้จัดให้ทาน เป็นเวลา 3 วันค่ะ ตอนนี้หมดแล้ว....รอดูผลเช่นกัน ..ถ้าหากประจำเดือนจะมา..จะมาทันที..หรือว่าจะมาในช่วงที่เราเคยเป็นค่ะ เดือนก่อนมาซึ่งน่าจะประมาณวันที่ 27-28..ขอบคุณค่ะ

 

Sak2*****7

9 สิงหาคม 2557 00:48:02 #4

เช้าวันที่ 9 ส.ค. 57 ได้ตรวจปัสสาวะอีกครั้ง ผลออกมาคือ ไม่ท้อง เรายังคงต้องรอตรวจปัสสาวะอีกอาทิตย์ไหมค่ะ และแต่ตอนนี้ยังอาการตกขาวด้วย...(ลืมบอกไปว่ามีอาการตกขาวมากในช่วง 27 ก.ค. -2 ส.ค.57)... มีผลต่อร่างกายทางใดบ้าง...(การตั้งครรภ์ // ประจำเดือนไม่ปกติ // สุขภาพด้านอื่นๆ)...ขอคำปรึกษาด้วยค่ะ...ขอบคุณค่ะ

 

นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

10 สิงหาคม 2557 14:28:33 #5

ในการตรวจการตั้งครรภ์ของคุณ sak27 ในช่วงวันดังกล่าว ผลที่ได้น่าเชื่อถือนะครับ ว่าไม่ตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำแล้ว ส่วนในเรื่องตกขาวน้ัน หากตกขาวลักษณะดังกล่าวมีลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชู่เปียกหรือ นมโยเกิร์ตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

Sak2*****7

10 สิงหาคม 2557 15:09:57 #6

ขอบคุณคุณหมอมากๆค่ะ..สบายใจขึ้นเยอะเลย..^_^