กระดานสุขภาพ

ประจำเดือนไม่มา และไม่ได้ตั้งครรภ์
Nipp*****n

21 พฤษภาคม 2557 13:35:50 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันเป็นประจำเดือนวันแรกเมื่อวันที่ 17 เม.ย. มีสัมพันธ์กับสามีเมื่อ 25 เม.ย โดยใส่ถุงยางและหลั่งในช่องคลอดโดยสวมถุงยาง กำหนดประจำเดือนมาอีกที คือวันที่ 13 - 16 พ.ค. ซึ่งเกินกำหนดจึงซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจ แต่ก็ขึ้น 1 ขีด แต่ช่วงระหว่าง 13 พ.ค.- ปัจจุบันมีอาการดังนี้ค่ะ

1ท้องผูกชนิด 5 วัน 1 ครั้ง (เวลาก่อนเป็นปจดมักจะท้องผูกเสมอ)

2เจ็บที่หัวนม ไม่ใช่เต้านม (ปกติเวลาเป็นปจด จะเจ็บทั้งเต้า) 

3เป็นตากุ้งยิง โดยกดหนองออกเองแล้วซื้อยาแก้อักเสบมาทานเอง

4หลังจากตรวจไม่พบตั้งครรภ์จึงลองกินยาสตรีดู ปริมาณ 1 ขวด ใน 2 วัน

5หิวมาก กินเหมือนไม่ได้กิน

ุ6มีกลิ่นปากแรง

ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ

1เป็นไปได้ไหมว่าตั้งครรภ์แต่ยังอ่อนอยู่เลยตรวจไม่เจอ ต้องตรวจซ้ำช่วงไหน

2ทำอย่างไรประจำเดือนถึงจะมา

ขอบคุณค่ะ

 

อายุ: 23 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 60 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.04 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

23 พฤษภาคม 2557 07:57:53 #2

หากทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีสวมใส่ก่อนสอดใส่อวัยวะเพศทุกครั้งก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งครรภ์ครับ แม้จะหลั่งด้านใน ประกอบกับตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะแล้วซึ่งในช่วงดังกล่าว หากตั้งครรภ์จริงก็จะตรวจพบแล้ว และ ในวันที่มีเพศสัมพันธ์นั้น หมอคิดว่ายังไม่มีการตกไข่ด้วยครับ ส่วนอาการต่างๆที่กล่าวมานั้น ไม่ได้มีอาการใดที่เป็นอาการที่จำเพาะต่อการตั้งครรภ์เลยครับ อาการส่วนใหญ่เป็นอาการก่อนจะมีประจำเดือนเท่านั้นครับ

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาไม่ตรงรอบนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้ มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตกหรือตกไม่สม่ำเสมอเช่น ภาวะเครียดวิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลานอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็วหรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษหรือพร่องฮอร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด เป็นต้นครับ ส่วนการทานยาในกลุ่มที่กล่าวมานั้น ซึ่งตามความเห็นของหมอแล้ว ยาที่กล่าวมานั้นมีตัวยาเป็นยาที่มีประโยชน์ครับ แต่อาจมีส่วนผสมของสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนผู้หญิง (Phytoestogen) ซึ่งการควบคุมปริมาณของสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่ต้องการมารักษาอาการผิดปกตินั้น ทำได้ยากมาก ไม่สามารถทำให้คงที่ แน่นอนในแต่ละครั้งที่ทาน และยังมีความแตกต่างในด้านส่วนประกอบในแต่ละชนิดยาอีกด้วย ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ เนื่องจากมีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลต่อทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ และ อาจยังทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก กะปริดกะปรอยได้อีกด้วย ดังนั้น ในความเห็นของหมอ หมอคิดว่า ไม่ควรทานยาประเภทนี้เพื่อการรักษาเรื่องประจำเดือนผิดปกตินะครับ เพราะ นอกจากจะไม่รักษาที่สาเหตุแล้ว ยังอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากอะไร

ดังนั้น ในความคิดเห็นของหมอ หมอแนะนำให้หยุดยาที่กล่าวมาก่อนนะ ครับ และ ลองสังเกตอาการผิดปกติดู หากประจำเดือนยังไม่มาใน 1-2 สัปดาห์ มาไม่เป็นรอบ ไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการกะปริดกะปรอยมาก ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

Nipp*****n

23 พฤษภาคม 2557 09:54:26 #3

ขอบคุณมากค่ะ ^^