โรคภูมิแพ้ รักษาได้แต่จะไม่หายขาดจะมีอาการเมื่อถูกสิ่งที่แพ้ ถ้าหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้ก็จะมีอาการแพ้ต้องรักษาตลอดไป ส่วนการจะรู้ว่าแพ้อะไรคงจะไปถามใครไม่ได้ต้องถามตัวเองครับ ต้องสังเกตุว่ามีอาการแพ้หลังจากไปทำอะไรมา สิ่งที่แพ้จะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจ(ปนมากับอากาศ) รับประทาน(อาหารและยา) หรือมาสัมผัสกับร่างกายโดยตรง

หากหยุดการรักษาไม่ได้หรือรักษาไม่ได้ผล อาจต้องสร้างภูมิคุ้มกัน โดยทางสถิติพบว่า ฝุ่น ตัวไร เชื้อราเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (80%) แพทย์ก็จะเอามาทดสอบว่าแพ้มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้ทราบขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย หากฉีดยาเข้มข้นมากเกินไปก็จะแพ้ยาได้ เมื่อทดสอบภูมิแพ้ โดยเอาฝุ่น ตัวไร เชื้อรา มาฉีดใต้ผิวหนังด้วยความเข้มข้นจากน้อยไปมาก เมื่อได้ผลว่าไม่มีอาการแพ้ที่ความเข้มข้นสูงสุดเท่าได จึงให้การรักษาด้วยการฉีดฝุ่น ตัวไร เชื้อราที่ความเข้มข้นนั้น การรักษาต้องฉีดยาที่ความเข้มข้นนั้นต่อเนื่องกันหลายปี จากที่ฉีดอาทิตย์ละสองครั้งเมื่อควบคุมอาการได้ก็ค่อยๆห่างออก เป็นอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง สองอาทิตย์ครั้ง เดือนละครั้ง ฯลฯ จึงต้องใช้เวลานานในการรักษาและ
อย่างน้อยสองอาทิตย์ถึงหนึ่งเดือนไปแล้วภูมิคุ้มกันจึงถูกกระตุ้น ผลการรักษาจึงไม่เกิดขึ้นในทันที่ที่ได้รับการฉีดยาภูมิแพ้

ไม่จำเป็นต้องฉีดยาภูมิแพ้ให้ครบหมดทุกชนิด เพียงมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งที่แพ้ตัวหลักๆก็จะลด Allergic load ลงได้มาก
จนสามารถควบคุมโรคภูมิแพ้ ไม่ให้มีอาการแพ้ได้ครับ

ส่วนค่ารักษาก็แตกต่างกันไปแล้วแต่เป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ค่าใช้จ่ายคงไม่คิดต่อครั้งเพราะต้องรักษาต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายเป็นปีทั้งปี รพ.รัฐคงเป็นหลักพัน เอกชนคงเป็นหลักหมื่นบาทครับ

ขอย้ำว่าโรคนี้จะไม่หายจากการตรวจแต่จะควบคุมได้ด้วยการรักษา ถ้าสงสัยว่าแพ้อะไรแล้วตรวจไปเรื่อยๆโดยไม่รักษา(ฉีดยาต่อเนื่อง) ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ การทดสอบภูมิแพ้ว่าแพ้อะไรหรือการเจาะเลือดตรวจค่าใช้จ่ายสูง(เป็นหมื่น-แสน) ถึงทดสอบไปร้อยชนิดก็ยังมีชนิดอื่นๆอีกที่ยังไม่ได้ทดสอบ จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนเฉพาะตัวหลักๆอย่างต่อเนื่องครับ ก็จะควบคุมอาการได้โดยไม่สิ้นเปลืองมาก

อ่านเพิ่มเติมตามลิงค์ครับ
http://youtu.be/bAbcT1t2YfU

ขอบคุณคุณหมอมากๆ ค่ะ