จากกรณีนี้มีปัญหาต้อกระจกร่วมกับมีจอประสาทตาผิดปกติร่วมด้วย มีการฉีดแก๊สเข้าในลูกตาร่วมกับการจัดท่านอนหงายหัวสูง เพื่อให้ชั้นจอประสาทตาด้านหลังของลูกตา (neurosensory retina) กลับไปติดกับชั้นเนื้อเยื่อด้านหลังลูกตา (retinal pigment epithelium) และมีการผ่าตัดนำเลนส์แก้วตาออก การจะกลับไปใส่เลนส์แก้วตาเทียมนั้น จำเป็นต้องรักษาให้จอประสาทตาชั้นจอประสาทตาด้านหลังของลูกตา (neurosensory retina) กลับไปติดกับชั้นเนื้อเยื่อด้านหลังลูกตา (retinal pigment epithelium)ให้ดีก่อน ร่วมกับแก๊สที่ใส่ในลูกตาสลายหมดก่อน และไม่มีการอักเสบของลูกตา เพื่อให้การวัดเลนส์แก้วตาเทียมแม่นยำยิ่งขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการใส่เลนส์แก้วตาเทียมค่ะ นอกจากนั้นการใส่เลนส์แก้วตาเทียมในภาวะไม่มีเลนส์ตา (aphakia) ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น จำนวนและรูปร่างของเซลล์เยื่อบุชั้นในของกระจกตา (corneal endothelium) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันกระจกตาบวมน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาโดยเฉพาะในกรณีที่ใส่เลนส์แก้วตาเทียมในบริเวณช่องหน้าม่านตา ซึ่งการใส่เลนส์แก้วตาเทียมโดยวิธีนี้อาจทำให้มีการสูญเสียเซลล์เยื่อบุชั้นในของกระจกตา (corneal endothelium) ได้ รวมทั้งการพิจารณาความดันลูกตาร่วมด้วย หากมีความดันลูกตาสูง มีมุมตาผิดปกติก็อาจมีผลต่อการเลือกตำแหน่งและวิธีการใส่เลนส์แก้วตาเทียม โดยเฉพาะการใส่เลนส์ตาเทียมในช่องหน้าม่านตา แต่อาจมีผลน้อยกว่าต่อการใส่เลนส์ตาเทียมในช่องหลังม่านตาค่ะ ดังนั้นแพทย์จะพิจารณาใส่เลนส์แก้วตาเทียมอีกครั้งในภาวะไม่มีเลนส์ตา (secondary IOL in aphakia) เมื่อการรักษาจอประสาทตาติดดีแล้ว และไม่มีการอักเสบของลูกตาค่ะ ขอให้หายไวๆ และกลับมามองเห็นเหมือนเดิมนะคะ