กระดานสุขภาพ

คลำเจอก้อนใต้คาง
Anonymous

10 กรกฎาคม 2559 15:49:13 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ หนูบังเอิญคลำเจอก้อนใต้คาง 2 ก้อน ติดๆ กัน ก่อนหน้านี้เคยคลำเจอแล้วครั้งนึงแต่คิดว่าคงมีกันทุกคนเลยไม่คิดอะไร แต่พอลองมาคลำของคนอื่นกลับไม่เจอ ก้อนข้างขวาจะมีขนาดประมาณ 0.5ซม.ได้ ส่วนข้างซ้ายนั้นมีขนาดใหญ่กว่า ประมาณ 1 ซม. จับแล้วไม่เจ็บ กลิ้งได้เล็กน้อย เคยอ่านในเว็บไซต์ต่างๆมาเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเอชไอวี กลัวมากค่ะ ตอนนี้คลำบ่อยจนเริ่มจะแข็งๆขึ้นแล้ว

ปล.หนูเป็นสิวที่หน้าเรื้อรังมานานหลายปีพอเม็ดนึงหายอีกเม็ดก็เป็นและมีฟันผุประมาณ 3 ซี่เป็นไปได้ไหมคะว่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดก้อนนี้ขึ้นได้

http://haamor.com/media/images/webboardpics/c2699-29933.jpg

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 45 กก. ส่วนสูง: 162ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.15 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

10 กรกฎาคม 2559 16:09:04 #2

ตำแหน่งก้อนใต้คางบริเวณนิ้วชี้และนิ้วกลางค่ะ

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

15 กรกฎาคม 2559 03:38:58 #3

เรื่องต่อมน้ำเหลืองโต แสดงว่ามีการติดเชื้อซึ่งอาจจะเป็นเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ถ้าเป็นการติดเชื้อที่มีการกระจายไปทั่วร่างกายโดยผ่านทางการหมุนเวียนของเส้นเลือด ต่อมน้เหลืองก็จะโตพร้อมๆกันหลายตำแหน่ง เช่น ใต้คาง หลังหู ข้างๆคอ รักแร้ ขาหนีบเป็นต้น ถ้ามีต่อมน้เหลืองโตเฉพาะตำแหน่ง มักจะเกิดจากการติดเชื้อเฉพาะที่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับต่อมน้ำเหลืองที่โต ในกรณีของคุณที่มีต่อมน้ำเหลืองโตเฉพาะที่ใต้คาง น่าจะเกิดจากการติดเชื้อในช่องปากหรือต่อมทอนซิลหรือที่บริเวณคอ ไม่น่าจะเกิดจากการติดเชื้อในระบบกระแสเลือด และที่มีประวัติเรื่องการเป็นสิวร่วมกับการที่มีฟันผุ ก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักของต่อมน้ำเหลืองใต้คางโต ส่วนการกังวลเรื่องการติดเชื้อเอดส์หรือเอชไอวีนั้น ขออธิบายดังนี้ 1. การติดเชื้อระยะเฉียบพลัน เกิดขึ้นใน 2-4 อาทิตย์หลังจากที่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้ อาเจียน มีผื่นขึ้นตามตัว เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น ซึ่งอาการจะค่อยดีขึ้นใน 1-4 อาทิตย์ เนื่องจากอาการเหล่านี้ไม่ค่อยเฉพาะเจาะจงทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว อาจนึกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2. ระยะที่ไม่มีอาการจะเป็นระยะต่อจากระยะเฉียบพลัน ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร ระยะนี้จะอยู่ระหว่าง
3-5 ปี แต่ในบางรายอาจนานเป็น 10 ปีขึ้นไปขึ้นอยู่กับการดูแลสภาพของร่างกายและปริมาณเชื้อไวรัสในเลือด 3. ระยะที่เป็นเอดส์ ผู้ป่วยเริ่มจะมีภูมต้านทานลดลง น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง มีผื่นคันตามตัว เป็นเชื้อราที่ลิ้น ต่อมาเริ่มมีโรคแทรก เช่น งูสวัด วัณโรคปอด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น ซึ่งการที่จะติดเชื้อเอดส์ได้นั้นต้องมีปัจจัยเสี่ยงคือ 1. มีการร่วมเพศโดยไม่ใช้ถุงยางกับคนที่ติดเชื้อเอดส์ 2. ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนที่ติดเชื้อเอดส์ 3. ได้รับเลือดบริจาคที่มีเชื้อเอดส์ และ 4 ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ขณะตั้งครรภ์ ถ้าคุณไม่มีปัจจัยเสี่ยง ก็ไม่ต้องกังวล แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง แนะนำให้ตรวจเลือดโดยใช้สิทธิที่มี เช่น บัตรทอง ประกันสังคม ไม่ต้องเสียค่าตรวจ