กระดานสุขภาพ

ทานแบบนี้..ลดประสิทธิภาพยาคุมฉุกเฉินหรืไม่
Anonymous

17 เมษายน 2562 08:58:20 #1

สวัสดีครับ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาครับ พอดีแฟนผมรับประทานยาคุมฉุกเฉินครับ แต่มีมีข้อสงสัยครับช่วงที่กินยาคุมฉุกเฉินทห้ามรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มอะไรบ้างรึป่าวครับ พอดีแฟนผมดื่มน้ำอัดลมครับ และมีดื่มวิตามินละลายน้ำดื่ม อย่างมีรอคค่าครับ ผมเเค่เกรงว่าสิ่งเหล่านี้จะไปลดประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินที่ทานไปครับ น้ำอัดลมวิตามินทานได้ปกติมั้ยครับ ช่วยชี้แนะทีครับ
อายุ: 19 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 64 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.15 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

21 เมษายน 2562 15:50:05 #2

เรียน คุณ b4171

ก่อนตอบคำถามของคุณ ขอให้ข้อมูลว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น ในทางการแพทย์จะใช้ก็ต่อเมื่อ ไม่สามารถวางแผนการคุมกำเนิดได้ เช่น เมื่อถูกข่มขืน หรือเมื่อใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม แล้วเกิดการฉีกขาด รั่วซึม ลื่นหลุด (ทั้งจากการเลือกซื้อไม่ถูกขนาด เลือกขนาดใหญ่ไว้ก่อน กลัวฝ่ายหญิงจะดูถูกว่าขนาดอวัยวะเพศเล็ก / การเก็บรักษาไม่เหมาะสม เก็บในที่ร้อน ถูกกดทับ / การฉีกซอง ใช้ของมีคม เช่น ฟัน หรือ มีด กรรไกร / การเลือกใช้สารหล่อลื่น ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เลือกใช้สารหล่อลื่นที่ไม่ใช่สูตรน้ำ / การสวมและถอดถุงยาง ควรทำเมื่อองคชาติยังคงแข็งตัวอยู่ เพื่อป้องกันการลื่นหลุด)

ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับยาคุมกำเนิดปกติหรือการสวมถุงยางอนามัย ที่มีเพียง น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์) และมีปริมาณยาค่อนข้างสูง คือ 1,500 ไมโครกรัม (เมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ ที่มีเพียง 50-75 ไมโครกรัม)

กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คือ

  • 1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความข้นเหนียวเพิ่มมากขึ้น ลดโอกาสที่ตัวอสุจิจะผ่านเข้าไปพบกับไข่
  • 2. ทำให้ท่อนำไข่ มีการบีบตัวน้อยลง หรือช้าลง ลดโอกาสที่ไข่จะเดินทางมาพบกับตัวอสุจิ
  • 3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความบางลง ลดโอกาสที่ตัวอ่อนจะมาฝังตัว (หากมีการผสมของไข่กับตัวอสุจิ)

การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน สามารถทำได้ 2 แบบ คือ

1. รับประทานยา 1 เม็ดทันที หลังจากมีเพศสัมพันธ์ (หรือช้าสุดไม่เกิน 48 ชั่วโมง) จากนั้นรับประทานยาเม็ดที่สอง เมื่อรับประทานยาเม็ดแรกไปครบ 12 ชั่วโมง

ข้อดี - อาการไม่พึงประสงค์ด้านยาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด แน่นท้อง น้อยกว่าวิธีที่สอง และหากมีเพศสัมพันธ์ซ้ำอีกหลังจากรับประทานยาเม็ดแรกไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลารับประทานยาเม็ดที่สอง ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเพิ่มเติมอีก

ข้อเสีย - มักลืมรับประทานยาเม็ดที่สอง หรือรับประทานยาเร็วหรือล่าช้าเกินกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้

2. รับประทานยาพร้อมกัน 2 เม็ดทันที หลังจากมีเพศสัมพันธ์ (หรือช้าสุดไม่เกิน 48 ชั่วโมง)
ข้อดี - ป้องกันการลืมรับประทานยา ระดับยาในเลือดสูงขึ้นทันที ลดโอกาสที่ตัวอสุจิจะผ่านไปพบกับไข่ได้

ข้อเสีย - อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ต่อระบบทางเดินอาหารมักสูงกว่าวิธีแรก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และหากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ซ้ำอีกหลังจากรับประทานยาครบแล้ว ให้ใช้วิธีการสวมถุงยางอนามัยแทน ไม่ควรรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินซ้ำอีก เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา - มีนศีรษะ เวียนศีรษะ หน้ามืด คัดตึงเต้านม คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด ประจำเดือนมาล่าช้า หรือไม่มาตามปกติ

คำแนะนำพิเศษ ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่า 2 ชุด/เดือน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีิวิตจากการตกเลือดในช่องท้อง เนื่องจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก

กลับมาที่คำถามของคุณ

- ควรรับประทานยา "ทุกชนิด" ด้วยน้ำเปล่าสะอาดเท่านั้น (ยกเว้น แพทย์หรือเภสัชกรจะมีคำแนะนำเป็นอย่างอื่น) เนื่องจากเครื่องดื่มบางชนิดอาจทำให้ตัวยาตกตะกอน ร่างกายไม่สามารถดูดซึมตัวยาได้ เช่น ชา (ชาขาว ชาเขียว ชาแดง) กาแฟ โกโก้ นม (รวมถึงโยเกิร์ต) น้ำเต้าหู้ น้ำอัดลม โซดา เป็นต้น หรือน้ำผลไม้บางชนิดจะกระตุ้นให้ตับที่เป็นแหล่งเผาผลาญหรือกำจัดยา/สารแปลกปลอม มีการผลิตเอนไซม์หรือน้ำย่อยที่ใช้ในการเผาผลาญยาเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจึงมีการเผาผลาญหรือกำจัดยาได้มากหรือเร็วขึ้น จนทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ในการรักษาได้ เช่น น้ำส้มคั้น น้ำเกรปฟรุต (จำพวกเดียวกับส้มโอ) น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำแครนเบอร์รี่ เป็นต้น

ส่วนในน้ำยาผสมวิตามินนั้น ไม่ทราบส่วนผสมแน่นอน แต่ในเม็ดฟู่จะมีส่วนประกอบของโซเดียม ไบคาร์บอเนตคล้ายกับในโซดา อาจทำให้ตัวยาเกิดการตกตะกอนได้

แนะนำเพิ่มเติม หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน และมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ สามารถพาแฟนคุณ (หากอายุยังไม่ถึง 20 ปี) ไปรับบริการฝังยาคุมกำเนิดจากสถานบริการของรัฐได้ฟรี หรือเสียค่าใช้จ่ายน้อย สามารถออกฤทธิ์ได้ 3-5 ปี แล้วแต่ประเภทของตัวยา

หรือใช้ถุงยางอนามัย ที่นอกจากช่วยในการคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน (หนองในเทียม) เริม ไวรัสตับอักเสบชนิด บี/ซี หรือโชคร้ายสุดคือไวรัสเอชไอวี ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด และยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - human Papillomavirus) ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง / หูดหงอนไก่ มะเร็งองคชาติในเพศชายได้อีกด้วย

หากมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยา/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ สามารถสอบถามได้จากแพทย์หรือเภสัชกรร้านยาใกล้บ้านได้ทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจช้าเกินไป ไม่ท้ันการ เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ หรือเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้


เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล


แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

  • ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
  • แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
  • สูตินรีแพทย์
  • ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive implant)
  • รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
  • สูตินรีแพทย์
  • ยาลดประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด (Common medications that reduce efficacy of birth control medications)
  • ภก. กรชัย ฉันทจิรธรรม