กระดานสุขภาพ

การใช้ยาแก้แพ้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
Anonymous

14 มิถุนายน 2559 10:36:17 #1

สวัสดีครับ...รบกวนขอคำปรึกษาครับ

เมื่อประมาณ2ปีที่แล้ว เริ่มมีการคันตามผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเริ่มจากเกิดรอยแดง และมีลักษณะผิวหนังนูนตามมาในทันที จากการสังเกตด้วยตัวเอง ลักษณะอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นหลังจากมีแรงกลมากระทำที่ผิวหนัง เช่น การเกา การใช้ผ้าเช็ดตัว การท้าวแขนที่ขอบโต๊ะ เป็นต้น
จึงไปพบแพทย์ผิวหนังที่คลินิกใกล้บ้าน เบื้องต้นแพทย์จ่ายยาให้ทาน 2 ชนิดหลังอาหาร วันละ2ครั้ง(โดยไม่ทราบชนิดของตัวยา) หลังจากรับประทาน อาการคันลดลง ไม่มีอาการนูนเกิดขึ้น แต่ยังคงมีลักษณะรอยแดงเกิดขึ้นหลังจากผิวหนังถูกแรงกล หลังจากรับประทานยาดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน พบว่าอาการไม่มีแนวโน้มดีขึ้นจากเดิม(ยังคงมีรอยแดงแต่ไม่นูนอยู่) จึงตัดสินใจเปลี่ยนแพทย์
หลังจากนั้นจึงไปพบแพทย์ผิวหนังอีกคลินิกหนึ่ง แพทย์เริ่มจากการจ่ายยา ดังนี้
- Loratadine 10mg (1เม็ดหลังอาหารเช้า)
- ketotifen 1mg (1เม็ดหลังอาหารเย็น)
- ยาไม่ทราบตัวยา (สมมติว่า A) (ก่อนนอน 1 เม็ด)
ทานติดต่อกัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่าไม่สามารถลดอาการคันและผิวหนังนูนบวมได้ จึงมีการปรับยาเพิ่มขึ้น เป็นดังนี้
- Loratadine 10mg (1เม็ดหลังอาหารเช้า)
- ketotifen 1mg (1เม็ดหลังอาหารเย็น)
- Ranitidine 150 mg (ก่อนอาหารเช้า+เย็น)
- ยาไม่ทราบตัวยา A (1เม็ด ก่อนนอน)
- ยาไม่ทราบตัวยา B (1เม็ด หลังอาหาร)
หลังจากนั้นอาการไม่ปรากฏการคันและนูน พบอาการรอยแดงบ้างเล็กน้อยเวลาลืมทานยาบางมื้อ
แต่หลังรับประทานได้ประมาณ 2 เดือน พบอาการตัวบวมอย่างเห็นได้ชัด หมอจึงมีการปรับยา โดยลดยา B ซึ่งหมอแจ้งว่าเป็นยาสเตียรอยลง เหลือเพียง 1เม็ดต่อ2วัน(ทานวันเว้นวัน) ซึ่งยาชุดนี้ยังคงสามารถควบคุมอาการได้ดีแบบเดียวกับชุดก่อนหน้า
หลังจากทานยาชุดล่าสุดได้ 1 เดือน แพทย์มีการปรับลดยาอีกครั้ง โดยลดยา A ซึ่งแพทย์แจ้งว่า ยาตัวนี้แรงเกินไป ลดมาทานยาอีกตัว ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนกันแต่ความรุนแรงน้อยกว่า
ซึ่งผมทานยาชุดดังกล่าวนี้มาเป็นระยะเวลาติดต่อกันประมาณ 7-8 เดือนแล้ว โดยพบแพทย์ทุกๆ 15 วัน
แต่ช่วง 2 เดือนหลังนี้ ด้วยความที่ตัวเองกังวลเรื่องการทานยาจำนวนมากติดต่อกันเป็นเวลานาน บวกกับเสียงความเป็นห่วงจากคนรู้จักรอบข้าง
อีกทั้ง มีครั้งหนึ่งที่แพทย์แจ้งว่า ลองไม่ทานยาดูว่าสามารถอยู่ได้ไหม ผมจึงทดลองลดการทานยาด้วยตัวเอง โดยอาศัยหลักการสังเกตว่า หากไม่ทานยาตัวใด อาการจะเกิดแบบใด โดยทดลองงดทาน 1ตัวยา ต่อ1สัปดาห์ จนปัจจุบันผมทานยาดังนี้
- Loratadine 10mg (1เม็ดหลังอาหารเช้า)
- ketotifen 1mg (1เม็ด ก่อนนอน)
- Ranitidine 150 mg (ก่อนอาหารเช้า+เย็น)
ซึ่งสามารถลดอาการคันและรอยนูนได้ แต่ยังคงปรากฏรอยแดงเช่นเคย ซึ่งอาการดังกล่าวนี้ไม่ได้รบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก (แต่ผมไม่ได้แจ้งให้แพทย์ทราบถึงการลดยาเองดังกล่าว)
ผมจึงอยากปรึกษาว่า...

1. โรคที่ผมเป็น คือเป็นลมพิษเรื้อรัง Dermographism ใช่หรือไม่ครับ?
2. ยาชุดที่ผมรับประทานล่าสุดนี้ ส่งผลเสียในระยะยาวหรือไม่ครับ?
3. ผมมีโอกาสหายขาดหรือไม่ครับ? ซึ่งหากเป็น Dermographism ก็ทำใจไว้แล้วว่าน่าจะเป็นโรคที่รักษาหายยาก ได้เพียงควบคุมอาการ บางรายอาจหายได้เองในไม่กี่เดือนถึง 1 ปี บางรายใช้เวลาถึง 20 ปี
4. ผมสามารถซื้อยาทานเองโดยไม่ต้องพบแพทย์ได้หรือไม่ครับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์ต่อเนื่องนั้น มีผลต่อค่าใช้จ่ายของตัวเองครับ

ขอบคุณครับ

อายุ: 27 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 74 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 26.22 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ.เปรมจิต จันทองจีน

แพทย์โรคผิวหนัง

17 มิถุนายน 2559 03:09:39 #2

จากประวัติ การเกิดลมพิษตามการกดทับ รอยกระแทก รอยขีดข่วน น่าจะเข้าได้กับกลุ่มผื่นลมพิษจากปัจจัยด้านกายภาพ (physical urticaria), dermatographism ค่ะ ทั้งนี้อาจจำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคทางระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย

กลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มลมพิษเรื้อรังชนิดหนึ่ง ซึ่งรักษายาก และหายยากค่ะ การรักษาหลักคือ

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดผื่น
  2. การรับประทานยาแก้แพ้ ซึ่งมียาแก้แพ้บางกลุ่มที่สามารถปรับยาเพิ่มได้ถึง 4 เท่าของขนาดยาปกติ โดยลดอาการลมพิษได้ แต่ไม่เพิ่มผลข้างเคียง
  3. พิจารณายากลุ่มอื่น ๆ เสริม ถ้าได้ยาแก้แพ้แล้วไม่ดีขึ้น

สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบัน คือยาต้านฮีสตามีนเป็นหลัก ซึ่งทั้งนี้การปรับยาให้เหมาะสมจะสามารถช่วยควบคุมโรคได้ค่ะ

**ไม่แนะนำให้ซื้อยารับประทานเองค่ะ แนะนำไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามและปรับยาให้เหมาะสม เพราะโรคนี้ค่อนข้างเป็นเรื้อรัง

สำหรับปัญหาเรื่องค่ารักษา แนะนำไปพบแพทย์ได้ที่รพ.รัฐบาล หรือโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ก็ได้ค่ะ จะได้รับการรักษาที่เหมาะสมทั้งเรื่องประสิทธิภาพการรักษา และค่าใช้จ่าย