กระดานสุขภาพ

อาการหลังกินยาคุมฉุกเฉิน
Anonymous

13 มิถุนายน 2557 13:12:58 #1

คุณหมอคะ คือวันที่ 21 พ.ค ได้ทานยาคุมฉุกเฉิน และหลังจากนั้นประมาณวันที่ 26พ.ค. ได้มีเลือดออก เหมือนประจำเดือน เรื่อยมาจนถึงวันที่ 1 มิ.ย. แล้ววันที่ 12 มิ.ย ก็ได้มีเลือดออกมาอีก เหมือนประจำเดือน ออกเยอะมากคะ ซึ่งโดยปกติ ประจำเดือน 2 เดือนที่แล้วคือ เม.ย พ.ค ประจำเดือนจะมาวันที่ 3 ที่ 4 แต่วันที่ 26พ.ค ที่เลือดออก คิดว่าน่าจะเป็นผลของยา ส่วนวันที่ 12 มิ.ย คือผลของ ยา หรือ ประจำเดือนหรอคะ โดยมีการตรวจการตั้งค์ครรภ์ทางปัสสาวะ หลังจากประจำเดือนขาด 7-8 วัน โดยยึดวันที่ประจำเดือน ของเดือน เม.ย - พ.ค เป็นหลัก คือวันที่ 3,4 ของเดือน มิ.ย ขึ้นขีดเดียวคะ แล้วเช้าวันที่ 13 มิ.ย ก็ตรวจอีก ก็ขึ้นขีดเดียวคะ รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ

อายุ: 21 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 53 กก. ส่วนสูง: 164ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.71 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

15 มิถุนายน 2557 06:42:21 #2

เรียน คุณ ae057,

จากข้อมูลที่คุณให้มานั้น ช่วงที่มีเลือดออกช่วงแรกไม่ใช่เลือดประจำเดือนครับ เป็นผลจากการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ที่มีการทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว เพื่อให้ตัวอ่อน (หากมีการผสมของอสุจิ) มาฝังตัวได้ยากขึ้น เมื่อหมดฤทธิ์ยา เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวขึ้น จึงมีการฉีกขาดและหลุดลอกออก ส่วนเลือดที่มาในช่วงวันที่ 12 มิ.ย. จึงจะเป็นช่วงที่มีประจำเดือนจริง ซึ่งการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมักทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ 5-7 วัน ดังนั้นรอบประจำเดือนของคุณจึงไม่ตรงกับเดือนก่อน ๆ โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 2-3 เดือน รอบประจำเดือน จึงจะกลับมาสู่วงจรตามปกติครับ แต่หากเลือดประจำเดือนมามากและระยะเวลานานกว่า 7 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น ใช้ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น คือ

1. เมื่อถูกข่มขืน หรือ

2. เมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือรั่ว โดยจากข้อมูลของบริษัทยาแนะนำให้รับประทานได้ไม่เกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่จากข้อมูลการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" มีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆสูงหลายเท่ามากกว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติหรือไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดมาก่อน ที่พบได้ คือมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก รังไข่ หรือมะเร็งตับ

หากคุณแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่ต้องการมีบุตร แนะนำให้พบแพทย์เพื่อวางแผนครอบครัว อาจต้องรับประทานโฟเลตบำรุงไว้ก่อน เมื่อต้องการมีบุตร จะช่วยเรื่องพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ หรือในช่วงนี้จะได้คัดเลือกยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานให้เหมาะสมกับคุณ โอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาจะน้อยกว่า เช่น บวม อ้วน สิว ฝ้า หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างเดือน แต่หากยังไม่แต่งงาน แนะนำให้ใช้การสวมถุงยางอนามัย นอกจากช่วยเรื่องการคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ทั้งซิฟิลิส หนองใน แผลริมอ่อน ตับอักเสบ บีและซิ เริม พยาธิในช่องคลอด หรือร้ายสุด คือ เอดส์ ซึ่งยังไม่มียารักษาให้หายขาด และยังช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่อีกด้วย

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กามโรค (STD: Sexually transmitted disease)
โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง วรลักษณ์ สมบูรณ์พร สูตินรีแพทย์

Anonymous

15 มิถุนายน 2557 07:27:27 #3

สรุปมันคือ ปจด ใช่ไมคะ แต่จะมาผิดปกติ 2-3 เดือน ใช่ไมคะคุณหมอ

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

15 มิถุนายน 2557 15:46:45 #4

เรียน คุณ ae057,

ช่วงที่มาตอนวันที่ 12 มิถุนายน จึงจะเป็นประจำเดือน ดังนั้นประจำเดือนคุณจะไม่ตรงกับรอบเดิม ซึ่งมักจะเป็นไปประมาณ 2-3 เดือน จนกว่าจะปรับรอบกลับมาตามปกติ หรือในบางรายประจำเดือน ก็อาจปรับเป็นรอบ 30-35 วันไปเลยก็มีครับ

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

Anonymous

16 มิถุนายน 2557 16:08:37 #5

แล้วเมื่อเช้า วันที่ 16 มิ.ย. ได้ตรวจการตั้วครรภ์ทางปัสสาวะ ขึ้น 1 ขีด ถือว่าผล น่าเชื่อถือได้มาก หรือน้อยเพียงใดคะคุณหมอ ถ้านับจาก มีอะไรกับแฟนวันที่ 21 พ.ค. แล้วถุงยางแตก ดลยทานยาคุมฉุกเฉิน ผลการตรวจน่าเชื่อถือได้เลยไมคะ หรือ รอตรวจซ้ำอีก

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

17 มิถุนายน 2557 15:55:57 #6

เรียน คุณ ae057,

ถ้าช่วง 12 มิถุนายน คุณมั่นใจว่าเป็นเลือดประจำเดือน ผลก็น่าเชื่อถือได้ครับ เพราะโดยปกติจะตรวจหลังจากที่ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด ประมาณ 1 สัปดาห์

แต่ของคุณมีเลือดมาหลังจากรับประทานยา และมีเลือดประจำเดือนมาช่วง 12 มิ.ย. โอกาสตั้งครรภ์น่าจะยิ่งน้อยมากครับ ไม่ต้องตรวจซ้ำอีกแล้ว หรือหากไม่สบายใจ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจค่าฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์จะไวและแม่นยำกว่าการตรวจทางปัสสาวะ แต่คิดว่าไม่จำเป็นครับ

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล