เรียน คุณ  noonny,

ขออนุญาตตอบในภาพรวมนะครับ โดยทั่วไป การรับประทานยาควรดื่มน้ำตามอย่างน้อย ครึ่งถึง 1 แก้ว เพื่อประโยชน์หลายประการ

1. เพื่อช่วยในการพาตัวยาให้ลงไปถึงบริเวณกระเพาะอาหารหรือลำไส้ เนื่องจากเม็ดยาโดยทั่วไปมักมีการเคลือบฟิล์ม shellac เพื่อความคงตัวของเม็ดยา และกลบรสชาติที่ไม่ค่อยดีของตัวยา ในบางครั้งอาจเกิดการติดบริเวณหลอดอาหารได้ โดยเฉพาะเม็ดแคปซูลยา ที่ผลิตจากคาราจีแนน หรือเจลาติน เมื่อถูกน้ำ จะเกิดการพองและติดที่หลอดอาหารได้
จากกรณีผู้ป่วยที่เคยพบ จะเกิดการเกาะติดของเม็ดยา จนอาจเกิดแผลที่หลอดอาหารได้ บางตัวยาที่มีความเข้มข้นสูง หรือเกลือของกรดไฮโดรคลอไรด์ เมื่อถูกน้ำจะเกิดเป็นกรดไฮโดรคลอริก ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการแน่น แสบร้อนกลางอกคล้ายกับภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งต้องได้รับยารักษาแผลในทางเดินอาหารต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 8 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็น

2. การที่ยาจะถูกร่างกายดูดซึมได้นั้น ย่อมต้องผ่านกระบวนการแตกตัว เป็นขนาดเล็ก จากนั้นจึงละลาย แล้วดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณทางเดินอาหาร ก่อนที่ตัวยาจะแตกตัวหรือละลายนั้น ก็ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวกลาง เมื่อมีน้ำน้อย ตัวยาอาจละลายได้ไม่ดี หรือเกิดความเข้มข้นสูงเกินจนระคายเคืองลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งการรักษาย่อมนานกว่า
ประมาณ 12 สัปดาห์

3. เมื่อร่างกายดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็ต้องมีการกำจัดออกจากร่างกาย ยาส่วนใหญ่ประมาณ ร้อยละ 80 จะถูกกำจัดที่ตับ ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี แล้วขับออกทางปัสสาวะ
การดื่มน้ำน้อย ก็เสี่ยงต่อการตกตะกอนที่ไตได้

จากข้อมูลที่ให้มา คุณย่อมเห็นความสำคัญของการดื่มน้ำหลังจากรับประทานยาแล้วนะครับ น้ำครึ่งแก้ว อาจลดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้หลายประการเลยนะครับ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล