กระดานสุขภาพ

กังวลและสงสัย
Anonymous

11 กันยายน 2561 23:56:41 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ หนูมีพฤติกรรมความเสี่ยงหรือเปล่าคะ ที่แฟนใช้นิ้วมือของเขาสำเร็จความใคร่ให้หนู จากนั้นก็เล้าโลมโดยที่อวัยวะเพศของต่างฝ่ายก็อยู่ในกางเกงค่ะ ไม่มีการสอดใส่ (หนูไม่แน่ใจว่าเขาแอบถอดกางเกงไหม เพราะตอนนั้นเขาใช้อวัยวะเพศถูไปมาที่อวัยวะเพศของหนู) ไม่มีการทำออรัลเซ็กส์แต่อย่างใดค่ะ หนูเลยอยากทราบว่าหนูมีความเสี่ยงหรือเปล่าคะ และก็ไม่แน่ใจว่ามีของแฟนมีบาดแผลหรือไม่ หนูควรตรวจหาความเสี่ยงได้กี่เดือนขึ้นไปคะ ขอบคุณค่ะ
อายุ: 22 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 24.00 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

11 กันยายน 2561 23:58:42 #2

และก็ไม่แน่ใจว่ามือของแฟนมีบาดแผลหรือไม่ค่ะ
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

16 กันยายน 2561 18:33:15 #3

เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการ และความผิดปกติแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

1.ระยะตั้งต้นเมื่อติดเชื้อไวรัสใหม่ๆ หรือ ระยะติดเชื้อปฐมภูมิ

อาการผิดปกติของผู้ป่วยในระยะแรกนี้จะมีน้อย และสามารถหายไปเองได้ในเวลา 2 ถึง 4 สัปดาห์ ได้แก่ เจ็บคอปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มี ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเล็กน้อย ถ่ายอุจจาระเหลว ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับอาการของ โรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้วินิจฉัยถูกต้องได้ยาก ระยะแรกนี้ยังไม่เรียกว่า โรคเอดส์
(Primary infection) เป็นระยะที่ไวรัสเข้าไปใน “ทีเซลล์” และทำให้เซลล์เหล่านี้ตายเป็นจำนวนมาก ทำให้ “ทีเซลล์” ในเลือดลดจำนวนลง เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานที่สร้างแอนติบอดี ให้สร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสขึ้นมาภายในเวลา 3 ถึง 7 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ซึ่งแอนติบอดีนี้สามารถตรวจพบได้จากเลือด และเป็นสิ่งที่ใช้ในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่ชัดเจนมาก

2.ระยะติดเชื้อเรื้อรังการติดเชื้อฉวยโอกาส อย่างรุนแรง ผู้ติดเชื้ออาจจะมีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น หรือมี วัณโรค ปอดกำเริบ โรคเริม หรือโรคงูสวัด เกิดขึ้นได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงมาก และมักจะรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล ระยะนี้ของโรคก็ยังไม่เรียกโรคเอดส์ เช่นกัน (Chronic infection) หรือระยะสงบทางคลินิก (Clinical latency) ระยะนี้ เชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในต่อมน้ำเหลือง และในม้าม และจะแบ่งตัวเพิ่มปริมาณในอวัยวะทั้งสองนี้เป็นส่วนใหญ่ ปริมาณของ CD 4 positive T-cell ในเลือด จะค่อยๆลดจำนวนลงอย่างช้าๆ ระบบภูมิคุ้ม กันต้านทานโรคของร่างกาย จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ เพราะ CD 4 positive T-cell จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ ระยะนี้ส่วนใหญ่จะกินเวลานาน 7-10 ปี โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน นอกจากนั้นการได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตอยู่ในระยะนี้ได้ยาวนานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนสมัยที่ยังไม่มีการค้นพบยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งในระยะนี้ เซลล์CD 4 positive T-cell ยังไม่ต่ำมากจนเป็นสาเหตุ

3.ระยะที่เป็นโรคเอดส์ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นประจำ ปริมาณของ CD 4 positive T-cell จะต่ำมาก ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตร และจะมีการติดเชื้อฉวยโอกาส ในอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง เช่น ปอด มีอาการทางสมอง และมีมะเร็งชนิดต่างๆเกิดขึ้นได้ ที่พบบ่อย คือ โรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi sarcoma) และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะนี้เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายถูกทำลายเกือบทั้งหมดโดยเชื้อไวรัสนี้ ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะมีไข้เรื้อรังนานเป็นเดือนๆ อ่อนเพลียมาก น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

สรุป ก็คือระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ยังไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ เราจะเรียกระยะที่ 3 ของโรคว่าเป็นโรคเอดส์เท่านั้น

เมื่อใดก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่นอนที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่สามี ภรรยา การเที่ยวสถานบริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุง ยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดขณะร่วมเพศ ให้สงสัยไว้ก่อนว่ามีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับการตรวจได้เลย ซึ่งแพทย์อาจจะนัดตรวจมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะในระยะ 3-7 สัปดาห์หลังได้ รับเชื้อ อาจยังตรวจไม่พบแอนติบอดี เพราะร่างกายยังสร้างไม่ทัน อาจต้องตรวจเลือดซ้ำหลังจากนั้น

  • ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง และเกิดมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไข้ต่ำๆ ต่อมน้ำ เหลืองโต ท้องเสีย ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคในระยะที่หนึ่งได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที
  • เมื่อน้ำหนักลดมากและรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์
  • เมื่อมีไข้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์
  • เมื่อท้องเสีย ถ่ายเหลวเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ควรพบแพทย์
  • เมื่อต่อมน้ำเหลืองที่คอ หรือขาหนีบ มีขนาดโตกว่าปกติ ควรพบแพทย์เช่นกัน