กระดานสุขภาพ

พยาธฺิในกระแสโลหิต
Ibo_*****d

9 มกราคม 2562 14:44:10 #1

สวัสดีครับหมอ

ตอนนี้ผมเครียดมาก เพราะรู้สึก (เข้าใจว่า) พยาธิเข้ากระแสโลหิต และบังเอญแม่ของเพื่อนผมมีอาการชักเนื่องจากพยาธิเข้าไปอุดตันในกระแสโลหิต และตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ ผมกลัวจะเป็นแบบแม่เพื่อนเพราะผมอยู่คนเดียว

เหตุที่ผมเข้าใจว่าพยาธิเข้ากระแสโลหิตคือ ผมเอารองเท้าเก่า ที่มีคางคกนอนอยู่ในนั้นมาใส่ แล้วมีอาการคันที่ฝ่าเท้า(คันมาก) พอขยี่มันก็หายไป แล้วมันก็คันอีกพอขยี่มันก็หายคันอีก เป็นอย่างนี้ พอตอนเย็นผมเอาไฟและแว่นขยายมาส่องดู มันมีรอยแดงเป็นเส้นหยักๆอยู่ในเนื้อ หลังจากนั้นอีก 4-5 วัน ตรงจุดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อตายคล้าย "ตาปลา" ผมเข้าใจว่าเป็นจุดที่มันใชเข้าไป และปัจจุบันมีอาการตึงที่ต้นขาแนวเส้นเลือด (ยังเป็นอยู่ตอนนี้) ถ้าเป็นพยาธิ-ผมกลัวมันอุดตันเส้นเลือด และขึ้นมาถึงหัวใจ ผมเครียดมากครับหมอ

ผมไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เพราะตามโรงพยาบาลและคลีนิคเขาไม่รับฟัง (คงจะเสียเวลาของหมอ) เขาบอกว่ามีอาการแล้วค่อยมา ...ถ้ารอให้มีอาการแล้วค่อยไปโรงพยาบาล ผมก็ชักตายกันพอดี ผมพยายามหาว่ามีหมอที่ใหนจะให้คำปรึกษาได้บ้าง ก็ไมมี คือมีแต่หมอรักษาไม่มีหมอให้คำปรึกษา

ขอบคุณครับ

ปล. แล้วผมจะเข้ามาดูคำให้คำปรึกษาได้อย่างไร? เพราะมีคนจำนวนมากๆที่เข้ามาปรึกษา

 

 

อายุ: 60 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 49 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.40 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

13 มกราคม 2562 03:12:57 #2

ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำว่าอย่าพึ่งกังวลไปก่อนค่ะ ในประวัติของคุณอาการที่เป็นอาจจะไม่ใช่เรื่องของพยาธิไชในผิวหนังค่ะ เพราะการที่พยาธิไชจะเห็นผื่นแดงลักษณะเป็นเส้น เคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆ และพยาธิที่ไชผิวหนัง คือ พยาธิไชอยู่ตามชั้นหนังกำพร้านะคะ ไม้ได้ไชไปในเส้นเลือด
โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง (Cutaneous larva migrans)

คือโรคผิวหนังที่เกิดจากพยาธิตัวกลมระยะตัวอ่อน (ส่วนมากเป็นพยาธิปากขอหรือพยาธิเส้นด้าย) ของสัตว์ พยาธิระยะตัวอ่อนจะไชไปตามผิวหนัง ชั้นหนังกำพร้าทำให้เกิดผื่นมีลักษณะเป็นเส้นนูนสีแดงคดเคี้ยวใต้ผิวหนังตาม ทางที่ พยาธิไชผ่าน เนื่องจากคนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่พยาธิเจริญเติบโต พยาธิตัวอ่อนจึงเดินทางไปตามเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังโดยไม่สามารถเจริญเป็นระยะตัวแก่ในร่างกายคนได้ จนในที่สุดพยาธินั้นจะตายไปเอง พยาธิสภาพและอาการแสดงทางผิวหนังจะเป็นอยู่นานจนกว่าพยาธิจะถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันหรือได้รับยาฆ่าพยาธิ โรคนี้พบมากในเขตร้อน เช่น ทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ เป็นต้น

ปรสิตที่เป็นสาเหตุคือ

1. พยาธิปากขอของแมวและสุนัข Ancylostoma braziliense (พบบ่อยที่สุด), A. caninum, A. ceylanicum, A. tubaeforme, Uncinaria stenocephala, Bunstomum phlebotomum

2. พยาธิเส้นด้ายของสัตว์ Strongyloides papillosus (พยาธิของแพะ แกะ วัว), S. westeri (พยาธิของม้า)

การติดต่อ

พยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อที่อยู่ที่พื้นดินชื้นแฉะไชเข้าผิวหนังของคนที่เดินเท้าเปล่าหรืออาจจะติดตามตัวทาก

หรือ เข้าตามผิวหนังของเด็กที่นั่งเล่นตามพื้นดินหรือทรายโดยสามารถไชผ่านเสื้อผ้าบางๆเช่นชุดว่ายน้ำได้

กลไกการเกิดโรค

พยาธิระยะตัวอ่อนจะหลั่งเอ็นไซม์เพื่อไชผ่าน ผิวหนังปกติ ผิวหนังที่เป็นแผล หรือไชเข้ามาตามรูขุมขน มาอยู่ในชั้น

หนังกำพร้า แต่ไม่สามารถไชผ่านหนังแท้ได้ หลังจากนั้น 2-3 ชั่วโมง ผิวหนังบริเวณนั้นจะเกิดการอักเสบ ต่อมาอีก2-3 วันพยาธิตัวอ่อนจะเริ่มเคลื่อนที่ไปใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังจะมีการอักแสบ บวมน้ำ มีเม็ดเลือดขาวมาคั่งอยู่

ลักษณะของผื่น

ผู้ป่วยจะเกิดผื่นหลังจากตัวอ่อนไชผ่านผิวหนังเข้ามาประมาณ 2- 50 วัน ตอนแรกจะเกิดเป็นตุ่มเล็กๆสีแดงก่อน

เมื่อพยาธิเริ่มเคลื่อนที่โดยการไชจะเห็นผื่นเป็นเส้นนูนสีแดงกว้าง 2-3 มิลลิเมตรคดเคี้ยวไปมาผื่นอาจมีความยาวได้ถึง

15-20 ซม. ตัวอ่อนของพยาธิเคลื่อนที่ได้วันละ 2-3 มิลลิเมตร จนถึงหลายเซนติเมตร อาจเกิดตุ่มน้ำตามแนวที่พยาธิไช

อาจมีผื่นเกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกัน ผื่นมักพบบริเวณที่ผิวหนังที่สัมผัสกับดินโดยตรงคือมือ เท้า ในเด็กเล็กอาจพบผื่นที่ก้น อาการร่วมที่สำคัญคือต้องมีอาการคันอย่างมาก อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

การวินิจฉัย

1. การวินิจฉัยใช้อาการแสดงทางคลินิกและประวัติเป็นหลัก

2. การตรวจเลือดอาจพบมีเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil สูงขึ้น

3. การตรวจ น้ำเหลืองพบมีระดับ IgE สูงขึ้น

4. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อให้พบตัวอ่อนของพยาธิทำได้ยากเนื่องจากพยาธิมีขนาดเล็กมากและเคลื่อนที่เร็ว ตำแหน่งที่ตัด

ชิ้นเนื้อที่มีโอกาสพบตัวพยาธิมากที่สุดคือบริเวณห่างจากจุดสุดท้ายที่เกิดผื่นเล็กน้อย

การรักษา

ถ้าไม่รักษาผื่นอาจหายได้เองภายใน 4 สัปดาห์- 2 ปี ยาที่ใช้รักษา คือ

1. Ivermectin รับประทานครั้งเดียว หาย 81-100%

2. ยาทา Thiabendazole ทาบริเวณผื่นวันละ 2-4 ครั้งนาน 2 สัปดาห์ให้ผลการรักษาดีเท่าการรับประทานยา

ivermectin

3. Thiabendazole รับประทานวันละหนึ่งครั้งนาน 2 วัน หายประมาณ 68-84% เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก

คือ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะจึงไม่ค่อยนิยมใช้

4. Albendazole รับประทานวันละหนึ่งครั้งนาน 3 วัน หายประมาณ 46-100%

การป้องกัน

1. อย่าเดินเท้าเปล่า นั่งหรือใช้มือสัมผัสดินที่สงสัยว่าปนเปื้อนมูลสัตว์

2. ถ่ายพยาธิในแมวและสุนัขเพื่อไม่ให้มีการแพร่ปรสิตสู่ดิน

Ibo_*****d

16 มกราคม 2562 16:53:44 #3

ขอบตุณ ขอบคุณตณหมอมากครับ ผมก็พยายามจะไม่คิดมาก แต่มันก็ยังอดคิดไม่ได้ครับ แม่เพื่อนผมชักและพาไปโรงพยาบาลทันจึงไม่เสียชีวิต ทำให้ผมกลับมาคิด"แม่ผมก็ชักและพาไปโรงพยาบาลไม่ทัน" ทางโรงพยาบาลก็บอกว่า "เป็นโรคหัวใจ-หัวใจล้มเหลว จึงเสียชีวิต" ทำให้ผมคิดว่าอาจเป็นพยาธิในกระแสโลหิดก็ได้

หลายคนที่เสียชีวิตกระทันหัน...ก็จะบอกกันว่าหัวใจวายบ้างละ หัวใจล้มเหลวบ้างละ ความจริงอาจเป็นเพราะพยาธฺิในกระแสโลหิดก็ได้

จากที่คุณหมอบอก..แสดงว่าเราสามารถตรวจได้จากการตรวจโลหิตใช่ใหม และผมจะต้องไปบอกหมอที่โรงพยาบาลอย่างไร หมอโรงพยาบาลจึงจะตรวจให้

ถ้าจะทำการรักษาไปเลยจะได้ใหม? (สมมุติว่ามันเป็น) จะมีผลข้างเคียงจากการรักษาล่วงหน้าหรือป่าว

ขอบคุณมากครับ 

พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

20 มกราคม 2562 17:42:28 #4

การตรวจเลือดอาจพบมีเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil สูงขึ้น เม็ดเลือดขาวชนิดนี้การมีค่าสูง ไม่ได้บอกว่ามีพยาธิเพียงอย่างเดียวนะคะ สูงขึ้นจาก โรคภูมิเเพ้ อาการแพ้ต่างๆก็ได้

ในการวินิจฉัยเรื่องพยาธิยังเป็นการซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นสำคัญค่ะ ในส่วนของคุณประเมินแล้วยังไม่เหมือนกับเรื่องพยาธิไชผิวหนัง แนะนำว่าไม่ต้องกังวลมากไปและยังไม่ต้องรักษาใดๆนะคะ หากมีอาการตามที่แนะนำไปค่อยไปพบแพทย์ค่ะ