กระดานสุขภาพ

มีอาการปวดหลังและเบื่ออาหาร
Anonymous

13 ตุลาคม 2561 13:06:35 #1

ดิฉันมีอาการปวดหลังมานานคะ แต่อาการกำเริบมากช่วงก่อนเป็นประจำเดือน (ประมาณวันที่ 4 ต.ค.ก่อนประจำเดือนมา 2 วันคะ) และมีอาการเบื่ออาหาร ท้องอืด เรอบ่อย และเพลียๆ ร่วมด้วย พอประจำเดือนหมด อาการก็ยังไม่หายคะ แต่ก็ดีขึ้นกว่าก่อนเป็นประจำเดือน แต่อาการตอนนี้คือ ปวดหลังและทานอาการได้น้อยกว่าเดิมมากๆคะ น้ำหนักก็ลดลงคะ จาก 61 เหลือ 59 ในเวลา 2 สัปดาห์คะ แต่พยายามกดตามท้องก็ไม่มีก้อนอัไรนะคะ แต่จะเป็นอาการปวดหลังแล้วตึงๆตั้งแต่ช่วงหน้าอก และเอวคะ มีเจ็บกล้ามเนื้อท้องบ้างคะ ปล. ตรวจสุขภาพประจำปี ผลออกมาเดือนกรกฎาคม ทุกอย่สงก็ปกตินะคะ ปล. 2 เคยไปหาหมอเพราะเคยเป็นอาการท้องอืด เรอ หมอบอกว่าเป็นโรคกะเพาะคะ แต่ยังไม่เคยไปหาเรื่องอาการปวดหลังคะ ** อยากทราบว่ามันเป็นอาการบ่งชี้เรื่องอะไรบ้างคะ
อายุ: 30 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 59 กก. ส่วนสูง: 164ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.94 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

16 ตุลาคม 2561 15:44:29 #2

อาการปวดหลังช่วงล่าง เกิดได้จากหลายกลไก ทั้งจากการเสื่อม และโรคกล้ามเนื้อ โรคของเอ็น โรคกระดูก และโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งการเสื่อมเหล่านี้ยังส่งผลให้เกิดปุ่มกระดูกงอกเล็ก ๆ (Osteophyte) ซึ่งเป็นกลไกที่ร่างกายใช้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกสันหลังที่เสื่อมถอย ส่งผลให้เกิดการเบียดกดประสาทไขสันหลัง ส่งผลให้เกิดอาการ ปวด เจ็บ ชา กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง รวมทั้งส่งผลถึงการทำงานของกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ และของทวารหนัก ส่งผลให้กล้ามเนื้อควบคุมการขับถ่ายเหล่านี้หย่อนยาน จึงเกิดการกลั้นปัสสาวะและอุจจาระได้น้อยลง ทั้งนี้เพราะส่วนหลังช่วงล่าง มีหน้าที่รองรับน้ำ หนักของร่างกาย เป็นส่วนที่ร่างกายใช้เคลื่อนไหวซ้ำๆตลอดเวลา เพื่อการทรงตัว การทำงาน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การหยิบจับ ก้ม เงย ยกของ ดังนั้น จึงเกิดการเสื่อมถอยของเซลล์ต่างๆได้ง่ายเมื่อมีอายุสูงขึ้น

สาเหตุของการปวดหลังช่วงล่าง ได้แก่

  • การทำงานมากเกินไปของกล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อจึงเกิดการบาดเจ็บอักเสบ (โดยไม่มีการติดเชื้อ) ซึ่งพบเป็นสาเหตุได้เท่ากับหรือมากกว่า 70% ของการปวดหลังช่วงล่างทั้งหมด
  • โรค/ภาวะ ปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเสื่อม พบเป็นสาเหตุประมาณ 14%
  • โรค/ภาวะกระดูกสันหลังยุบตัวจากภาวะ/โรคกระดูกพรุน พบประมาณ 4%
  • กระดูกสันหลังเคลื่อนจากสาเหตุต่างๆ เช่น ยกของหนัก เล่นกีฬา พบประมาณ 2%
  • โรค/ภาวะโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบ(Lumbar spinal stenosis) จึงเบียดรัดประ สาทสันหลัง พบประมาณ 3%
  • กระดูก หรือเนื้อเยื่อหลังช่วงล่างติดเชื้อ พบประมาณ 0.01%
  • กระดูกหลังช่วงล่างอักเสบจากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง พบประมาณ 0.3%
  • โรคมะเร็งแพร่กระจายสู่กระดูกสันหลังช่วงล่าง พบประมาณ 0.7%
  • เป็นอาการปวดสืบเนื่องมาจากเนื้อเยื่อ/อวัยวะในช่องท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน พบประมาณ 2% เช่น จากการอักเสบของต่อมลูกหมาก มดลูก โรค/ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคนิ่วในไต โรคนิ่วในท่อไต โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือโรคกรวยไตอักเสบ

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ

  • สูงอายุ มักอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพราะขาดฮอร์โมนเพศที่เป็นตัวเพิ่มการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก
  • มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ขาดการออกกำลังกาย นั่งๆ นอนๆ
  • น้ำหนักตัวเกิน หรือ โรคอ้วน
  • โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง
  • โรคข้อเสื่อม
  • โรคมะเร็ง ระยะแพร่กระจาย (ระยะที่ 4)
  • มีอาชีพใช้หลังมาก เช่น ยกของหนัก กีฬาที่ต้องใช้หลัง (เช่น มวยปล้ำ)
  • สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน และโรคหลอดเลือดแดงแข็ง เนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆรวมทั้งกระดูกจึงขาดเลือดหล่อเลี้ยง
  • ปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ จะส่งผลถึงการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมทั้งกล้ามเนื้อหลัง ก่ออาการปวดหลังช่วงล่างเรื้อรังเช่น ความเครียด อาการซึมเศร้า
  • อาจจากพันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนที่ครอบครัวมีอาการนี้
  • การตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักจากครรภ์ จะกดทับกระดูกสันหลัง ก่อให้เกิดการบาด เจ็บของกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนหลังได้ นอกจากนั้นอาจจากผลของฮอร์โมนที่เพิ่มผิดปกติจากการตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อต่างๆ โดย เฉพาะกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการที่พบได้จากปวดหลังช่วงล่าง คือ

  • ปวดหลังบนกระดูกสันหลังช่วงล่าง และ/หรือ ปวดทั้งแผ่นหลัง
  • อาจปวดร้าวลงขาด้านใดด้านหนึ่ง มักเกิดเพียงด้านเดียว
  • เคลื่อนไหวหลังไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวด ก้มตัวไม่ได้ เพราะเจ็บ
  • ยืนตรงไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวดหลัง


อาการปวดหลังช่วงล่างที่ต้องรีบพบแพทย์ ภายใน 1-2 วัน หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ คือ มีอาการปวดหลังร่วมกับ

  • ปวดหลังมาก โดยเฉพาะเมื่ออายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
  • มีไข้ หนาวสั่น หรือมีอาการทางปัสสาวะ เช่น ปวด เบ่ง แสบ เมื่อปัสสาวะ
  • ส่วนหลังได้รับอุบัติเหตุ
  • ปวดหลังมากช่วงกลางคืน หรือถึงแม้นอนพัก
  • ปวดบริเวณก้นกบ (กระดูกสันหลังชิ้นที่อยู่ล่างสุดของลำตัว)
  • ชาบริเวณขา เท้า
  • กลั้นอุจจาระ และ/หรือปัสสาวะไม่อยู่
  • เป็นโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง
  • เป็นโรคมะเร็ง
  • กินยาสเตียรอยด์ต่อเนื่อง เพราะผลข้างเคียงของยาตัวนี้ คือ ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
  • ใช้ยาเสพติด เพราะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆได้ทั่วร่างกาย

แนวทางการรักษาอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับ ประคองตามอาการ

การรักษาสาเหตุ เช่น การรักษา โรคกระดูกพรุน การฉายรังสีรักษากรณีเกิดจากการแพร่ กระจายของโรคมะเร็ง การรักษาทางจิตเวช และบางครั้งเป็นส่วนน้อยอาจใช้การผ่าตัดในกรณี อาการปวดเกิดจากโรคปวดหลังจากหมอนรองกระดูก หรือเกิดจากโรคกระดูกเคลื่อนกดทับประ สาท หรือกดทับไขสันหลัง เป็นต้น รวมทั้งในกรณีเป็นการปวดหลังซึ่งปวดร้าวมาจากโรคอื่นๆในช่องท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน การรักษา คือ การรักษาสาเหตุของโรคนั้นๆเช่นกัน เช่น รักษาโรคนิ่วในไต เป็นต้น

การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การพักผ่อนซึ่งไม่ควรเกิน 2 วัน เพราะยิ่งหยุดการเคลื่อนไหว อาการปวดจะยิ่งเพิ่มขึ้น แพทย์มักแนะนำให้เคลื่อนไหวเท่าที่พอทำได้ การกินยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ การประคบร้อน สลับประคบเย็น (บางคนอาการดีขึ้น บางคนไม่ได้ผล) และ/หรือการทำกายภาพบำบัด

การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ

  • พักการใช้หลัง ระวังการนั่ง ยืน เดิน นอน การยกของ ก้ม เงย
  • กินยาแก้ปวด
  • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่พอจะทำได้ เพราะยิ่งไม่เคลื่อนไหว อาการปวดจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
  • อาจประคบร้อน ประคบเย็น หรือ ทั้งร้อนและเย็นสลับกัน ซึ่งจะได้ผลต่างกันในแต่ละคน
  • การนวดด้วยยาทาภายนอก ซึ่งอาจได้ผลในบางคน
  • การใส่เครื่องพยุงหลัง ซึ่งได้ผลในบางคน
  • ลดน้ำหนักเมื่ออ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเกิน
  • เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการปวดหลังเลวลง หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์
  • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 1-2 วัน หรือ ฉุกเฉิน ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้ออาการของปวดหลังช่วงล่าง

การป้องกันอาการปวดหลังช่วงล่าง คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และสาเหตุดังกล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ ที่หลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งให้การดูแล รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง หรือเป็นสาเหตุ

นอกจากนั้น ที่สำคัญอีกประการ คือ การเรียนรู้วิธี นั่ง ยืน นอน ลุกขึ้น ยก แบก ลาก ของหนักที่ถูกต้อง อาจจากปรึกษา แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด หนังสือ หรือทางอินเทอร์ เน็ต