กระดานสุขภาพ

คันรอบๆทวารหนัก
Anonymous

7 กันยายน 2561 20:15:14 #1

สวัสดีค่ะ มีอาการคันบริเวณรูทวารหนักเหมือนมีตัวอะไรเคลื่อนไหวค่ะจึงไปซื้อยาถ่ายพยาธิ Albenazole 200mg ทานครั้งละ2 เม็ด เช้ากับเย็นมาทานเภสัชให้ทาน3วันพอทานครบแล้วก็ยังมีอาการคันอยู่ค่ะต้องทำอย่างไรดีคะ มีอาการเหมือนมีลมในท้องเสียดๆ คันตามตัวบางครั้ง และแสบคอเหมือนมีเสมหะติดคอตลอดเวลากลืนน้ำลายก็ไม่หายร่วมด้วยค่ะ กังวลเครียดมากๆเลยรบกวนด้วยนะคะ
อายุ: 24 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 59 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 24.56 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

9 กันยายน 2561 17:34:57 #2

คันทวารหนัก หรือ คันปากทวารหนัก (Pruritus ani) คือ อาการ คันที่เกิดในบริเวณรอบๆปากทวารหนัก อาจเป็นอาการเฉียบพลัน หรือเป็นอาการเรื้อรัง ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ

คันทวารหนัก เป็นอาการพบได้บ่อยอาการหนึ่ง พบได้ประมาณ 1-5% ของประชากรทั้ง หมด พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้สูงอายุ โดย ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้เท่ากัน

สาเหตุของการคันทวารหนักมีได้หลายสาเหตุ ได้แก่

• บริเวณรอบทวารหนัก เปียกชื้น อับ เช่น จากเหงื่อออกมาก อ้วน หลังเข้าห้องน้ำแล้วล้าง/เช็ด ไม่แห้ง

• มีโรคผิวหนัง เช่น จากโรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆ เช่น โรคผื่นแพ้สัมผัส โรคผื่นภูมิแพ้ผิว หนัง โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบที่เรียกว่า Seborrheic dermatitis

• มีอุจจาระไหลซึมออกมารอบๆปากทวารหนัก เช่น โรคแผลรอยแยกขอบทวารหนัก โรคฝีคัณฑสูตร ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ (เช่น ในผู้สูงอายุ) ท้องเสียเรื้อรัง ภาวะอุจจาระเหลวไม่เป็นก้อน (เช่น ในกรณีมีลำไส้อักเสบเรื้อรัง) โรคริดสีดวงทวาร และโรคเนื้องอก/ติ่งเนื้อที่เรียกว่า Skin tag

• การระคายเคืองจากอาหารบางชนิด ซึ่งพบได้ในบางคนที่เนื้อเยื่อรอบปากทวารหนักไวต่ออาหารประเภทนี้ เช่น อาหาร/เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เบียร์ นม อาหารรสเปรี้ยว อาหารรสเผ็ด และมะเขือเทศ

• มีการติดเชื้อในผิวหนังรอบปากทวารหนัก เช่น จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสิว หรือ หนองจากรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ ติดเชื้อรา เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น หูดบางชนิด หรือมีพยาธิทวารหนัก เช่น พยาธิเส้นด้าย หรือเหา

• ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาเคมีบำบัด หรือยารักษาตรงเป้า บางชนิด

• จากโรคเรื้อรังของร่างกายบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคดีซ่าน โรคของต่อมไทรอยด์ โรคไตเรื้อรัง หรือ ภาวะไตวาย

• ผิวหนังบริเวณรอบทวารหนักสัมผัสสาร/สิ่งก่อการระคายเคือง เช่น เสื้อผ้า แป้ง ยาทารักษาโรคบริเวณนั้น ผิวแห้ง กระดาษทิชชู สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม สารดับกลิ่น และ ยาเหน็บทวารหนักต่างๆ(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง วิธีใช้ยาเหน็บทวารหนัก)

• อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

• อื่นๆ เช่น ปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ โรคของเส้นประสาทในบริเวณนั้น และบาง ครั้งแพทย์หาสาเหตุไม่พบ

แนวทางการรักษาอาการคันทวารหนัก คือ การรักษาอาการคัน การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ

ก. การรักษาอาการคัน เช่น กิน/ทายาแก้คัน สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย อากาศถ่ายเทได้ดี

ข. การรักษาสาเหตุ คือ การรักษาสาเหตุต่างๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ เช่น

• รักษาควบคุม โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเบาหวาน โรคริดสีดวงทวาร และโรคแผลรอยแยกขอบทวารหนัก

• ปรับเปลี่ยนการใช้สบู่ ผงซักฟอก และ/หรือประเภทอาหาร/เครื่องดื่มต่างๆที่ก่อการระคายเคือง ตามแต่ละสาเหตุ เป็นต้น

ค. การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การทำความสะอาดเมื่อมีแผล หรือหนอง การกินยาแก้ปวด/เจ็บตามอาการ การตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันการเกาจนเกิดแผลที่เกาติดเชื้อ เป็นต้น

การดูแลตนเองและการพบแพทย์ เมื่อมีอาการคันทวารหนัก คือ

• ตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันแผลเกาติดเชื้อจากการเกา

• รักษาความสะอาดบริเวณทวารหนัก ล้างให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าสะอาด อุณหภูมิน้ำปกติในทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ ซับให้แห้งด้วยทิชชูที่อ่อนนุ่ม แพทย์ส่วนใหญ่แนะ นำให้ใช้เพียงน้ำเปล่า แต่บางท่านแนะนำว่า ถ้ามีหนอง หรือ น้ำเหลือง อาจใช้สบู่ได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่อ่อนโยนต่อผิว

• ทิชชูที่ใช้ในบริเวณทวารหนักต้องอ่อนนุ่ม

• รักษาบริเวณทวารหนักให้แห้งเสมอ

• ใส่ยาทาแก้คันได้ เช่น ยาคาลามาย (Calamine lotion)

• ซื้อยาแก้คันกินเองได้ เช่น ยาในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine) แต่ควรปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ

• สวมใส่เสื้อผ้า รวมทั้งชุดชั้นในที่ไม่รัดตึง เนื้อผ้าควรระบายอากาศได้ดี (ผ้าฝ้าย 100%) รักษาความสะอาดชุดชั้นใน ควรเปลี่ยนอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาบ น้ำเช้า และก่อนนอน

• สังเกตความสัมพันธ์ของอาการกับเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้อง แล้วปรับตัวตามนั้น เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น

• สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอาการกับอาหารและเครื่องดื่ม แล้วปรับตัวตามนั้น เช่น กาแฟ อาหารเผ็ด เป็นต้น

• อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อลดการมีเหงื่อ

• ควรพบแพทย์เมื่อ บริเวณทวารหนักมีอาการดังนี้

- มีแผลเรื้อรัง

- มีก้อนเนื้อ

- แผลติดเชื้อ (บวม แดง ร้อน มีน้ำเหลือง/หนอง)

- เจ็บมากที่ทวารหนักร่วมด้วย

- มีเลือดออกในบริเวณที่คันต่อเนื่อง

- คันมากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และรวมทั้งต่อการนอน

- คลำได้ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโตข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง

- อาการคันเรื้อรังนานเป็นหลายสัปดาห์โดยไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง

- เมื่อกังวลในอาการ

Anonymous

11 กันยายน 2561 08:29:48 #3

ขอบคุณค่ะ