กระดานสุขภาพ

ช่วยตอบด้วยครับ
Ptp*****p

10 สิงหาคม 2561 10:05:19 #1

เวลาเล่นกีฬาหรือใช้แรงงานมีอาการเหนื่อยง่ายหายใจไม่ติดชาไปหมดทั้งตัวเหมือนจะหมดสติทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นพอไปตรวจหมอบอกว่าเป็นที่ปอดไม่เป็นอะไรเป็นแค่อาการภูมิแพ้แค่แพ้ฝุ่นแล้วก็ไม่ได้ให้ยาอะไรอีกอาการหนึ่งเหมือนมีอะไรมาคาอยู่ที่คอทำให้หายใจไม่สะดวกอาการทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆประมาณ 1 ชั่วโมงก็หายอยากทราบว่าผมเป็นอะไรไหมครับตอนนี้ผมไม่ได้เล่นกีฬาหรือใช้แรงงานมาเป็นเดือนแล้วครับ
อายุ: 24 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 161ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.38 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

14 สิงหาคม 2561 19:29:32 #2

ในการวินิจฉัยโรค จะต้องพบคนไข้ ได้ซักประวัติและตรวจร่างกาย อาจส่งตรวจเพิ่มเติมหากจะช่วยในการวินิจฉัยและรักษานะคะ


เบื้องต้นอาการเหนื่อยง่าย เมื่อออกแรง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคหัวใจ โรคทางปอด เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นต้น แนะนำว่าหากมีอาการหรืออาการแย่ลง แนะนำให้พบแพทย์ค่ะ

Ptp*****p

15 สิงหาคม 2561 00:27:29 #3

ไปตรวจเพิ่มเติมมาแล้วหมอบอกว่าเป็นภูมิแพ้มีวิธีรักษาไหมครับ หมอไม่ได้ให้ยาอะไรหมอแค่บอกว่าให้ห่างจากที่ที่มีฝุ่นเยอะๆแล้วก็ควันบุหรี่
Ptp*****p

20 สิงหาคม 2561 11:26:58 #4

จะหายเป็นปกติไหมครับ
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

20 สิงหาคม 2561 18:43:46 #5

โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ (Allergic rhinitis): อาการของโรคภูมิ แพ้ทางจมูกอาจแบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ

ชนิดแรกเป็นชนิดที่มีอาการเด่นทางน้ำมูก คือจะมีน้ำมูกใสไหล จาม คันจมูก

ชนิดที่สองมีอาการเด่นทางอาการคัดจมูกเป็นหลัก มักไม่มีน้ำมูกหรืออาการจาม

ชนิดที่สามจะมีอาการของ 2 ชนิดแรกรวมกัน คือมีทั้งน้ำมูกใสและอาการคัดจมูก

ส่วนชนิดสุดท้ายจะมีอาการที่วินิจฉัยยากถ้าผู้ตรวจไม่มีความชำนาญอาจวินิจฉัยผิดได้ กลุ่มนี้อาจมีอาการไอเรื้อรังหรือกระแอมซึ่งเกิดจากเสมหะไหลหรือซึมลงคอ อาจรู้สึกมีเสมหะติดคอเวลาเช้าได้ บางคนมีอาการปวดหัว/ปวดศีรษะเรื้อรัง นอนกรน หรือถอนหายใจบ่อยๆ ปากแห้ง บางคนมีอาการคันหัวตาโดยไม่มีอาการตาแดง อธิบายว่าเกิดจากการที่มีเยื่อจมูกบวมมากทำให้ท่อน้ำตาที่อยู่ติดๆกันอักเสบเกิดอาการคันที่หัวตาอย่างมาก

การวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้จากการซักประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียดโดยเฉพาะประวัติโรค หรือมีอาการภูมิแพ้ภายในครอบครัว การสังเกตตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ รวมทั้งสภาพลักษณะการทำงาน สภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ทำงาน การตรวจร่างกายบางอย่างถ้าพบก็จะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคเช่น การมีขอบตาล่างบวมคล้ำ การตรวจภายในโพรงจมูกจะช่วยบอกถึงความรุนแรงของการอักเสบและอาจบอกถึงโรคในโพรงจมูกที่มีผลต่อการรักษาโรคภูมิแพ้ได้เช่น อาจพบการซีดหรือมีสีแดงจัดจากการอักเสบ

หลักการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีหลักการทั่วไปคือ

• ควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้

• ให้การรักษาด้วยยา

การควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้ ได้มีการสำรวจผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยพบว่า มักจะแพ้ไรฝุ่นฝุ่นบ้านเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ แมลงสาบ ละอองเกสรพืช และขนสัตว์ ถ้าทำได้แนะนำให้ทำการทดสอบผิวหนังในผู้เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าแพ้อะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกต้องและยังใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาทำการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนอีกด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้รับการทดสอบผิวหนัง หรือไม่สามารถทำการทดสอบได้ก็ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ซึ่งที่พบบ่อยคือ

1. ไรฝุ่น

• จัดห้องนอนให้โล่ง ไม่ควรมีพรม ตุ๊กตา และผ้าม่าน

• ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

• คลุมที่นอน หมอน หมอนข้างด้วยผ้าใยสังเคราะห์ชนิดพิเศษซึ่งสามารถกันไม่ให้ตัวไรฝุ่นลอด ผ่านขึ้นมาได้

2. แมลงสาบ

• ขจัดแหล่งอาหารของแมลงสาบโดยทิ้งขยะและเศษอาหารในถุงหรือถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด

• ใช้ยาฆ่าแมลงสาบและกับดักแมลงสาบ

3. สัตว์เลี้ยง

• ไม่ควรเลี้ยงสัตว์มีขนเช่น สุนัข แมว นก กระต่าย

• ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรให้สัตว์เลี้ยงอยู่นอกบ้านและอาบน้ำให้ทุกสัปดาห์

• ใช้เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องกรองอากาศ

4. เกสรหญ้า

• ควรตัดหญ้าและวัชพืชบริเวณบ้านบ่อยๆเพื่อลดจำนวนเกสร

• ไม่ควรนำต้นไม้ ดอกไม้สดหรือแห้ง ไว้ในบ้าน

• ในช่วงที่มีละอองเกสรมาก ควรปิดประตูหน้าต่างและใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศ

• ทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเช้าเพราะละอองเกสรจะปลิวมากช่วงตอนเย็น

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองต่างๆที่อาจทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้แก่ ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย กลิ่นฉุน น้ำหอม ควันธูป และฝุ่นละอองจากแหล่งต่างๆ การออกกำลังกายสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็มีความสำคัญ โดยพบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักมีอาการแย่ลงเมื่อมีภาวะเครียดและอดนอน ดังนั้นควรดูแลสุขภาพตัวเองไม่ให้เครียดมากและควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ในกรณีมีอาการโรคหืดกำเริบจากการออกกำลังกาย การพ่นยาขยายหลอดลมก่อนการออกกำลังกาย15 - 30 นาทีจะช่วยป้องกันการหอบระหว่างออกกำลังกายได้

การให้การรักษาด้วยยา เราอาจแบ่งการรักษาโรคภูมิแพ้ออกได้เป็น 3 ระดับเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ดังนี้

1. ยาบรรเทาอาการต่างๆเช่น ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) และยาขยายหลอดลม

2. ยาต้านการอักเสบเช่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกหรือสูดทางปาก

3. การใช้วัคซีนภูมิแพ้ เป็นการรักษาโดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายเริ่มจากปริมาณน้อยๆและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเกิดความชินต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งผู้ป่วยที่ควรรับการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีนภูมิแพ้คือ ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีผลข้างเคียงจากยา โดยก่อนจะเลือกรักษาด้วยการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องทราบก่อนว่าแพ้อะไรเพื่อจะได้นำสารที่แพ้มาฉีดเป็นวัคซีน ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้ป่วยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำอย่างน้อย 3 - 5 ปี