กระดานสุขภาพ

แฟนผมเป็นโรคจิตเวช (ต้องรักษาด้วยไฟฟ้า)
Pong*****9

19 มีนาคม 2556 07:50:42 #1

ขอรบกวนถามผู้รู้หน่อยครับ คือแฟนผมเป็นโรคจิตเวชมา2-3ปี กินยาแล้วก็หาย จนปีที่แล้วตั้งท้อง คลอดเดือนมกราคม 2556 ที่พามา หลังจากคลอดก็ไม่มีอะไร ไปหาหมอๆก็บอกว่าปกติ นัดเจออีก 2เดื่อน จนกับเข้าไปทำงานได้ไม่ถึงอาทิอาการรีบออกจนตกอยู่งานเลย อาการคือ คิดแต่เรื่องในอดีต คิดไปคิดมาคุยไม่รู้เรื่อง คิดว่าแฟนเป็นเกย์ คือว่าลูกที่พึ่งเกิดไม่ใช่ลูกขอแฟน ซึ่มคิดว่าตัวเองไม่มีค่าผิดตลอด และก็ไม่มีอาการก้าวร้าวแล้วพาไปหาหมอๆให้ยา Neutapin รึ Quetiapine 200 mg 2 เม็ดก่อนนอน และStarin 59 mg 1เม็ดก่อนนอน และ Diazepam 5 mg 1 เม็ดเวลาเครียด แต่กินมาได้ 1อาทิอากาศไม่ดีขึ้นเลย จึงไปหาหมอแต่ไม่เจอหมอคนที่รักษาประจำ แต่เจอหมอคนใหม่ แฟนก็เข้าไปคุยเสร็จแล้วเรียกผมเข้าไปคุยด้วย และหมอก็หาแฟนผมไปรอข้างนอก หมอคุยกับผมว่า คุยไม่รู้เรื่องพูดกับไปกับมา และอาจคิดสั้นได้ และบอกว่าจะให้แฟนผมนอนที่โรงพยาบาล แต่ผมสงสารแฟนจึงบอกว่าขอยาเพิ่มหรืออะไรก็ได้ หมอคนใหม่ก็เลยจะฉีดยาให้มีผล 3 วัน ผมก็ ok แต่แล้วก็มีเรื่องจะได้ ตอนขับรถออกมาจากคนโรงพยาบาลได้ซักพัก แฟนก็โทรหาแม่แต่แม่ไม่อยู่บ้านทั้งๆที่นัดกับแม่ไว้แล้วว่าถ้าหาหมดเสร็จจะไปนอนบ้านแม่แทนบ้านแฟน แต่ไม่อยู่ก็เลยตะคอดใส่แม่ว่าเห็นตัวแฟนเป็นสัมภเวสีหรือ แล้วก็จะเปิดประตูรถ จะกลับเอง. ผมจึงโทรบอกแม่แฟนว่าอยากให้นอนโรงพยาบาล จึงนำกลับไปที่โรงพยาบาลอีกรอบ. ตอนเข้าไปก็ไม่มีอะไร นอนได้ 2 วัน แฟนผมก็คุยรู้เรื่องบ้าง. และขอกลับบ้าน ผมสงสารแฟนเลยขอพยาบาลๆไม่ยอมบอกต้องถามหมอที่ให้อยู่ ผมเลยไปพบหมอตอนแรกหมอไม่ยอม ผมขอร้องว่า จะหยุดงาน 1-2 อาทิดูแลแฟนแล้วก็มีแม่แฟนดูด้วย ว่าอยู่บ้านแล้วอาการจะดีขึ้นไหม โดยให้คุยกับลูกคุยกับแฟนดูแลแบบเต็ม 100 บำบัดจิตใจด้วย. หมอจึงยอม โดย ให้ยาเหมือนตอนที่นอนโรงพยาบาล คือ. Neutapin รึ Quetiapine 200 mg 1 เม็ดก่อนนอน และ Olapin 10mg 1 เม็ดก่อนนอน และ Sertraline 50 mg 1 เม็ดก่อนนอน แล้วนัดรักษาด้วยไฟฟ้า คือ 20-22-25 มีค แล้ว 26 คุยกับหมอ (อยากถามว่าหมอคนเก่าที่ดูแลมาเป็นปีๆยัง ไม่เคยบอกให้นอนหรือรักษาด้วยไฟฟ้าเลย แต่ทำไหมหมอคนใหม่เจอไม่ถึง 10 นาที แล้ว สรุปว่าต้องนอนหรือรักษาด้วยไฟฟ้า) รบกวนช่วยตอบที่คับ

อายุ: 29 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 51 กก. ส่วนสูง: 156ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.96 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

20 มีนาคม 2556 09:27:11 #2

จากอาการของภรรยาคุณที่คุณเล่ามา และยาที่หมอใช้ ภรรยาคุณน่าจะป่วยเป็น "โรคอารมณ์เศร้าอย่างแรง" หรือ "Major Depression" โรคนี้แม้หายแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ได้อีก โดยเฉพาะช่วงหลังคลอดคนที่ป่วยด้วยโรคนี้มีโอกาสกลับมาเป็นอีกได้มากกว่าธรรมดา ตอนนี้ผู้ป่วยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายด้วย

วิธีการรักษาผู้ป่วยโรคอารมณ์เศร้าอย่างแรงและกำลังมีความคิดฆ่าตัวตายที่ได้ผลเร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุดคือการทำช็อคไฟฟ้าครับ มันออกฤทธ์ในเวลาเป็นวัน ในขณะที่การใช้ยาอาจต้องใช้เวลา ๒ สัปดาห์ขึ้นไป มันเป็นวิธีการรักษาแบบฉุกเฉินที่จิตแพทย์ต้องใช้เพื่อรักษาชีวิตคนไข้ เพราะการเฝ้าระวังคนไข้ที่มีอาการซึมเศร้ามากๆ และมีอาการอยากฆ่าตัวตายด้วยนั้น เรามีโอกาสพลาดหรือเผลอได้ตลอดเวลา เมื่อความคิดอยากฆ่าตัวตายลดลง เขาก็จะหยุดใช้และให้การรักษาด้วยยาต่อไปเหมือนเดิม

ส่วนที่คุณถามว่าทำไมหมอคนเดิมดูมาตั้งนานไม่เคยคิดว่าต้องใช้วิธีช็อคไฟฟ้าในการรักษาเลย ผมคิดว่าที่ผ่านมาอาการของผู้ป่วยอาจไม่รุนแรงเท่านี้และไม่มีความคิดฆ่าตัวตาย ดังนั้น ความจำเป็นในการใช้วิธีช็อคไฟฟ้าในการรักษาจึงไม่มีครับ

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

Pong*****9

20 มีนาคม 2556 13:40:00 #3

อาการแฟนผมตอนนี้คือคิดเรื่องงานและเรื่องเงินและเป็นห่วงคนรอบข้างมากเกินไป ผมเลยบอกว่าเรื่องงานถ้าไม่ทำงานก็ลาออกเลยก็ได้และเรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วงๆสุขภาพตัวเองก่อนดีกว่า และจะพาแฟนไปทำบุญและปฏิบัติธรรม จะช่วยอะไรได้ไหมครับ และเรื่องการรักษาด้วยไฟฟ้าจะได้ผลกี่% ครับ รบกวบด้วยครับ

นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

20 มีนาคม 2556 17:16:18 #4

ทั้งหมดเป็นอาการของโรคครับ ถ้าโรคทุเลาอาการเหล่านี้จะหายไปเอง ไม่ต้องกังวล สิ่งที่เราจะช่วยผู้ป่วยได้ในตอนนี้คือ "รับฟัง" สิ่งเขาพูด และบอกว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขา การพยายามอธิบายหรือชี้แจงต่างๆนานาจะไม่ช่วยอะไรครับ

ส่วนคำถามที่ว่าการรักษาด้วยการช็อคไฟฟ้าได้ผลมากน้อยแค่ไหน จากรายงานของสถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health: NIMH) เขาสรุปไว้ว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างแรงจะดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีนี้ประมาณ 10 % (แปลว่ามันได้ผล 90 %) ครับ

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

Pong*****9

21 มีนาคม 2556 12:14:41 #5

ต้องขอขอบพระคุณคุณหมออุดมมากนะครับ แล้วแฟนผมจะกลับไปทำงานที่เดิมได้ไหมครับ (ที่ทำงานรู้เรื่องแฟนนอนโรงพยาบาลแล้วนะครับ)****ครับ

Haamor Admin

(Admin)

21 มีนาคม 2556 15:23:55 #6

ถึง คุณ pong99

คำถามทุกคำถาม ขอความกรุณาไม่ลงชื่อ บุคคลที่ 3 หรือชื่อโรงพยาบาลนะคะ เพราะการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 เป็นการขัดต่อคำแนะนำของแพทยสภาคะ

ดังนั้น admin ขออนุญาตลบออกนะคะ

นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

22 มีนาคม 2556 04:07:05 #7

เคยได้ยินชื่อ John Nash มั้ยครับ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 1994 จากผลงานการคิดค้นสมการคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ที่เรารู้จักและใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ภายใต้ชื่อ Game Theory

John Nash ป่วยเป็นโรคจิตเภทครับ และในขณะที่ค้นคว้าทฤษฎีนี้เขาก็ยังรักษาตัวเอง ยังกินยาตามที่หมอสั่งอยู่

ที่เล่าถึงเรื่องนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ผู้ป่วยทางจิตเวชแม้เขาจะเจ็บป่วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมรรถนะของเขาจะลดลง ขนาด John Nash ที่ป่วยด้วยโรคจิตเภทซึ่งถือว่ามีความรุนแรงที่สุดแล้วในบรรดาโรคทางจิต เขาก็ยังสามารถคว้ารางวัลโนเบลมาได้

ในกรณีของภรรยาคุณ เธอไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิต แต่เธอป่วยด้วยโรคอารมณ์เศร้า โรคนี้ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะในการทำงานของผู้ป่วยแต่อย่างใด เมื่อหายแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม เธอจะทำงานได้ตามปรกติ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเธอ หากแต่อยู่ที่คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน หรือหน่วยงานว่าจะยอมรับในตัวเธอเหมือนเดิมหรือไม่มากกว่า

สังคมไทยยังมองผู้ป่วยจิตเวชในทางลบครับ เพราะฉะนั้นเมื่อภรรยาคุณกลับไปทำงาน รับรองว่าจะมีคนตั้งคำถามว่าเธอจะยังสามารถทำงานได้อีกหรือ ซึ่งเราก็ห้ามเขาไม่ได้เสียด้วย ทางออกจึงมีทางเดียวคือการพิสูจน์ตัวเองครับ ทำให้คนเห็นให้ได้ว่าเธอยังเป็นคนเดิม ไม่นานคำถามที่ว่าก็จะค่อยๆ หายไปเอง(โบราณเขาว่าคนไทยลืมง่ายครับ)

แต่ทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาอนาคตนะครับ มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ อย่าเพิ่งไปกังวลกับมันดีกว่า ไว้ให้มันเกิดขึ้นก่อนค่อยหาทางแก้ไข ตอนนี้เอาสมาธิมาดูแลการเจ็บป่วยของภรรยาคุณดีกว่าครับ

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร