กระดานสุขภาพ

ว่าด้วยเรื่องเลือดออกก่อนประจำเดือนมา
Payn*****m

14 พฤศจิกายน 2560 10:03:32 #1

สวัสดีคะคุณหมอ วันที่ 30 31 ต.ค. 3- 6พ.ย.มีตกเมือกใสๆไม่มีกลิ่นคะ ไอ มีเสมหะมีไข้ ปวดหัว เมื่อประมาณวันที่ 6 - 10 พ.ย.60 ไอตลอด และมีอาการมีปวดท้องน้อย จึงพบหมอสูติคะ หมอบอกกินยา แก้อักเสบมากไป ทำให้เป็นเชื้อราในช่องคลอดแต่ยังป่วยอยู่หมอเลยจัดยาเกี่ยวกับอาการป่วยให้มากิน คือมียาแก้ไอ ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดท้องน้อย มากิน รู่สึกคันช่องคลอดมากคะ และแสบด้วย  แต่ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.อาการเริ่มคันน้อยลงคะ ไม่แสบช่องคลอดแล้ว แต่มีคล้ายเลือดๆสีน้ำตาลคะ แต่ไม่เยอะ ต้องใช้กระดาษชำระซับถึงจะเห็นบางครั้งซับก็ไม่เห็นติดกระดาษคะ มีเลือดๆสีน้ำตาลตั้งเมื่อวันที่ 13 พ.ย.คะ ประจำเดือนของต.ค.มาวันที่ 16 - 20 คะ อยากทราบว่าหนูควรไปพบแพทย์อีกไหมคะ แล้วเลือดสีน้ำตาลที่ว่าใช่เลือดเตือนหรือเปล่าคะว่าประจำเดือนกำลังมา คุณหมอสูติที่ไปหาท่าจัดยาเชื้อราให้มาด้วยคะแต่ยังไม่ทานเพราะท่านสั่งว่าให้ทานยาแก้เอกเสบให้หมดก่อนแล้วค่อนทานยาต้านเชื้อรา ยาแก้อักเสบเหลืออีกสามมื้อหมดคะ หนูอยากถามว่าหนูควรทานยาเชื้อราต่อไหมคะหรือไปพบแพทย์ก่อน

อายุ: 27 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 66 กก. ส่วนสูง: 157ซม. ดัชนีมวลกาย : 26.78 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

15 พฤศจิกายน 2560 17:39:40 #2

การทานยาแก้อักเสบไม่มีผลต่อการเกิดเชื้อราในช่องคลอดค่ะ สาเหตุของการติดเชื้อรา มักเกิดจากความอับชื้น การดูแลอนามัยทางช่องคลอดที่ไม่ถูกวิธี ส่วนใหญ่ จะพบมีสตรีที่มีน้ำหนักตัวมาก คุณสามารถรักษาอาการไข้หวัด ไปพร้อมพร้อมกับการรักษาการติดเชื้อราในช่องคลอดได้ สถิติการติดเชื้อราในช่องคลอดจะมีอาการคัน ตกขาวผิดปกติลักษณะเหมือนนมบูดออกมาปริมาณมาก ส่วนอาการเลือดออกผิดปกติ อาจจะเกิดจากการอักเสบของปากมดลูกหรือช่องคลอด หรืออาจจะเป็นเลือดที่ออกมาจากผนังเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำงานของร่างกายที่ไม่ปกติ เช่น ภาวะไข่ไม่ตกหรือเป็นกลุ่มอาการของถุงน้ำที่รังไข่ ตอนนี้คุณสามารถรักษาการติดเชื้อราได้ โดยการสอดยาทางช่องคลอดและรับประทานยาต้านเชื้อราร่วมด้วย ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหาสาเหตุของการที่มีเลือดออกผิดปกติ จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ เพราะอาจจะต้องทานฮอร์โมนเพื่อทำให้เลือดหยุดด้วยค่ะ