กระดานสุขภาพ

อยากสอบถามเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคครับ
Anonymous

4 ตุลาคม 2560 17:24:56 #1

คือผมอายุ25 ปี น้ำหนัก85 เพิ่งเข้ารักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์A มาคับก็เลยอยากหาข้อมูลเพื่อที่จะได้ไปฉีดวัคซีนป้องกัน...แจ่ไม่รู้ว่าเราควรจะฉีดวัคซีนตัวไหนบ้างรบกวนคุณหมอแนะนำให้หน่อยครับ....(ผมมีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วยและเริ่มรับยาแล้วคับ)ยังไงรบกวนคุณหมอแนะนำด้วยคับ
อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 85 กก. ส่วนสูง: 172ซม. ดัชนีมวลกาย : 28.73 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

7 ตุลาคม 2560 12:16:12 #2

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นได้บ่อย ในประเทศไทยพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่คิดเป็น 30% ของผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยพบได้มากใน ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza Virus) ที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้จากผ่านการไอ จาม เสมหะ หรือการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ๋ ซึ่งจะมีอาการแสดงเช่น มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีน้ำมูก หรือคัดจมูก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมหรือร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค/ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ โรคไข้หวัดใหญ่อาจนำไปสู่การเกิดปอดบวมและการติดเชื้อในกระแสโลหิต (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ได้
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ

กลุ่มที่ 1: เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กลุ่มเอ (Influenzavirus A): โดยมีสัตว์ปีกเป็นตัวแพร่กระจาย ในประเทศที่ทำเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมสัตว์ปีกจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของเชื้อในกลุ่มนี้ เชื้อไวรัสในกลุ่มนี้มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อมนุษย์มากที่สุด ซึ่งเคยมีการแพร่ระบาดมาแล้วในอดีตเช่น สายพันธุ์เอชไฟว์เอ็นวัน (H5N1) หรือคือไข้หวัดนกที่แพร่ระบาดในราวปี พ.ศ. 2547, สายพันธุ์เอชวันเอ็นวัน (H1N1) ในปี พ.ศ. 2551 หรือที่เรียกว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009, และไข้หวัดหมู

กลุ่มที่ 2: เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กลุ่มบี (Influenzavirus B): เป็นเชื้อไวรัสที่มีการแพร่กระ จายน้อยกว่ากลุ่มที่ 1 ส่วนใหญ่มีมนุษย์เป็นพาหะหรือผู้แพร่เชื้อ

กลุ่มที่ 3: เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กลุ่มซี (Influenzavirus C): มีหนึ่งสายพันธุ์เท่านั้น พบ การติดต่อได้ในคน สุนัข และสุกร/หมู โดยทั่วไปแล้วมีการแพร่กระจายได้น้อยมากและอาการของโรคไม่รุนแรง จึงไม่มีการนำเชื้อไวรัสประเภทนี้มาใช้เป็นวัคซีน

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine หรือ Flu vaccine หรือ Flu shot) เป็นวัคซีนที่แนะนำการฉีดสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีระบบภูมิคุ้มกันฯที่ต่ำกว่าบุคคลทั่วไปเช่น ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป สตรีตั้งครรภ์ เด็กเล็ก คนอ้วน/โรคอ้วน ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ (เช่น เบาหวาน) รวมถึงบุคลากรทางด้านสาธารณสุข โดยฉีดปีละ 1 ครั้งเนื่องจากในแต่ละปีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการกลายพันธุ์เล็กน้อย ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกจะทำการเลือกสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดโรคในปีถัดไปมาใช้ทำเป็นวัคซีน ดังนั้นการได้รับวัคซีนในปีที่ผ่านมาอาจไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในปีต่อไปได้ และการใช้วัคซีนจากปีก่อนหน้าในการฉีดอาจทำให้การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ของวัคซีนเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ


วัคซีนไข้หวัดใหญ่มี 2 รูปแบบคือ

วัคซีนชนิดเชื้อเป็น ((Live Attenuated Vaccine) ซึ่งเป็นการนำไวรัสมาทำให้อ่อนฤทธิ์ ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่มีความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันฯได้ มาใช้เป็นวัคซีนบริหาร/ ให้วัคซีนผ่านการพ่นทางจมูก ซึ่งยังไม่มีการนำมาใช้ในประเทศไทย

อีกรูปแบบหนึ่งคือวัคซีนเชื้อตาย (Killed vaccine) หรือวัคซีนที่สกัดได้จากชิ้นส่วนของไวรัสที่มีความสามาถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันฯโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในประเทศไทย

 

วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีข้อบ่งใช้ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันฯของร่างกายเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยองค์การอนามัยโลกจะทำการคัดเลือกไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 - 4 สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการแพร่ระบาดในแต่ละปี มาใช้เป็นวัคซีน ดังนั้นการรับวัคซีนชนิดเดิมหรือการรับวัคซีนของปีก่อนหน้าจึงไม่เป็นที่แนะนำเนื่องจากอาจทำให้การป้องกันโรคไม่เต็มประสิทธิภาพ

ในช่วงปี พ.ศ. 2559 - 2560 (ค.ศ. 2016 - 2017) องค์การอนามันโลกได้คัดเลือกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์มาใช้ในการผลิตวัคซีนสำหรับกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือ (รวมถึงประเทศไทย) ได้แก่

  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กลุ่มเอ (Influenzavirus A) สายพันธุ์ A/California/7/ 2009 ของสายพันธุ์เอชวันเอ็นวัน (H1N1), และ A/Hong Kong/4801/2014 ของสายพันธุ์เอชทรีเอ็นทู (H3N2)
  • เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กลุ่มบี (Influenzavirus B) สายพันธุ์ B/Brisbane/60/ 2008

ในประเทศไทยวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นรูปแบบยาชีววัตถุ (Biotechnology drug) ประเภทยาฉีด ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ(Intramuscular, IM) ครั้งละขนาดยา 0.5 มิลลิลิตรปีละ 1 ครั้ง แนะนำให้ฉีดก่อนช่วงเข้าฤดูฝน ช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน


ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีที่ไม่เคยได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อน อาจจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นภูมิอีกครั้งภายหลังการฉีดครั้งแรก ขนาดวัคซีนโดยทั่วไปที่แนะนำคือ สำหรับ

    • เด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 3 ปี แนะนำขนาดยา 0.25 - 0.5 มิลลิลิตร/ครั้งการฉีดวัคซีน
    • เด็กอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปฉีดครั้งละ 0.5 มิลลิลิตร

โดยการฉีดกระตุ้นภูมิต้องห่างจากการฉีดครั้งแรกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์

กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงและควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย มีอาการรุนแรงเมื่อเกิดการติดเชื้อ หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ได้แก่

 

  • สตรีตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์
  • เด็กเล็กช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 - 3 ปี
  • ผู้ที่อายุต่ำกว่า 19 ปีแต่มีการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ซึ่งเป็นยาบรรเทาอาการ อักเสบ ปวด เป็นเวลานาน
  • ผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้นไป
  • คนอ้วน (ดรรชนีมวลร่างกาย (BMI) มากกว่า 35 กิโลกรัม/ตารางเมตร)
  • ผู้พิการทางสมอง
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น โรคระบบทางเดินหายใจเช่น โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น โรคเอชไอวี ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ)
  • ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันฯเช่น การใช้ยาเสตียรอยด์ชนิดฉีดหรือรับประทานในระยะยาว ผู้ป่วยที่ใช้ยาเคมีบำบัด เป็นต้น
  • ผู้อยู่อาศัยในสถานพักฟื้นหรือบ้านพักคนชรา
  • เจ้าหน้าที่บริการด้านสาธารณสุข เจ้าหน้าที่บริการสังคม

 

อย่างไรก็ดีบุคคลทั่วไปที่มีความประสงค์รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถกระทำได้โดยอาจติดต่อสถานพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้าน