กระดานสุขภาพ

อาการท้องลั่นโกรกกรากของแม่ครับ
Anonymous

18 กันยายน 2560 09:21:30 #1

แม่ผมอายุ58ปี มีอาการท้องลั่นโกรกกรากเหมือนลำไส้บีบตัว หรือเสียงลม มาเป็นเวลานานเป็นเดือนแล้วครับ โดย มีอาการร่วมกับ การผายลม โดยไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วยครับ แต่แม่เริ่มมีความรำคาญ และมีความกังวลว่ามันจะเป็นสัญญาณบอกโรคในระบบทางเดินอาหารหรือเปล่า ปล. แม่ผมติดยาระบายด้วยครับ ทานมาหลายปีแล้ว เพราะแม่รู้สึกว่า ถ่ายแล้วสบายท้องดี จึงทานมาตลอด ผมเลยไม่แน่ใจว่า เสียงโกรกกรากที่เกิดขึ้น เป็นผลข้างเคียงจากการใข้ยาระบายมาเป็นเวลานานด้วยหรือเปล่า อยากให้คุณหมอวินิจฉัยว่า อาการในข้างต้น เป็นอันตรายหรือน่ากังวลหรือไม่ และควรไปพบแพทย์หรือเปล่าครับ
อายุ: 58 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 148ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

24 กันยายน 2560 17:27:39 #2

ในส่วนของก้อนตามส่วนต่างๆของร่างกาย แนะนำให้พบแพทย์ค่ะ เพราะต้องตรวจร่างกายและซักประวัติว่าก้อนที่เกิดขี้นเกิดจากอะไร โดยทั่วไปถ้าเป็นก้อนลักษณะเนื้อร้าย ก้อนมักจะโตเร็ว ปวดกลางคืน ลักษณะก้อนแข็ง ขยับไม่ได้ ผิวสัมผัสขรุขระเป็นต้น

ในส่วนของอุจจาระที่ผิดปกติ คิดว่าคุณมีภาวะท้องผูกค่ะ
ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการ ไม่ใช่โรค ได้แก่ อาการไม่ถ่ายอุจจาระตามปกติ ซึ่งโดยคำนิยามทางการแพทย์ ท้องผูก หมายถึงความผิดปกติทั้งจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ ซึ่งต้องน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลักษณะของอุจจาระต้องแห้ง แข็ง การขับถ่ายต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วง และภายหลังอุจจาระแล้วยังมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด

ท้องผูกเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยคือ

  • เกิดจากลำไส้เคลื่อนตัวช้ากว่าปกติหรือบีบตัวลดลง ทั้งนี้เพราะขาดตัวกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้จากมีลำอุจจาระเล็ก เช่น จากกินอาหารที่ขาดใยอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำน้อย อุจจาระจึงแข็งและลำอุจจาระเล็ก ลำไส้จึงบีบตัวลดลง อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้า
  • จากขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเคลื่อนตัวช้า
  • จากปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เช่น ความเครียด ความกังวล หรือการไม่มีเวลาพอในการขับถ่าย จึงส่งผลถึงการทำงานของลำไส้ลดการบีบตัวลง

สาเหตุที่พบได้แต่น้อย คือ

  • มีโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของกล้ามเนื้อลำไส้และ/หรือประสาทลำไส้ จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวลดลง กากอาหาร/อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้าลง เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆเช่น เบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ และไตวาย
  • มีโรคของระบบประสาท จึงส่งผลถึงการทำงานเคลื่อนไหวบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ลด ลง เช่น โรคหลอดเลือดสมองโรคเนื้องอก/มะเร็งของสมอง หรือของไขสันหลัง
  • โรคของกล้ามเนื้อเอง จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัวลดลง เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
  • กินยาบางชนิดที่ลดการบีบตัวของลำไส้ เช่น ยาคลายเครียดบางชนิด ยาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ
  • โรคของลำไส้เอง ก่อให้เกิดการอุดกั้นลำไส้ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

แนวทางการรักษาอาการท้องผูกที่สำคัญคือ การเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเคลื่อนที่ได้ง่าย ซึ่งคือ การกินอาหารมีใยอาหารสูง (ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วต่างๆ) และดื่มน้ำสะ อาดวันละมากๆเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม (เช่น โรคหัวใจล้มเหลว) อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว และเคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอ
ถ้าอาการท้องผูกยังคงมีอยู่ไม่ดีขึ้นหลังปรับเปลี่ยนอาหาร ดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจใช้ยาแก้ท้องผูกโดยปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ ถ้าซื้อยากินเอง
เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกนานเกิน 5 - 7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพราะการใช้ยาแก้ท้องผูกบ่อยๆจะยิ่งกลับมาท้องผูกมากขึ้นและต้องเพิ่มปริมาณใช้ยามากขึ้นจนอาจก่ออันตรายได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง ปวดท้อง
นอกจากนั้นคือ การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อเป็นสาเหตุของท้องผูก เป็นต้น

โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากอาการท้องผูก นอกจากความไม่สุขสบาย นอกจาก นั้นคือ เกิดโรคริดสีดวงทวารจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำ และ/หรืออาจเกิดแผลแตกรอบๆทวารหนัก (แผลรอยแยกขอบทวารหนัก) จากก้อนอุจจาระที่แข็งกดครูด
แต่ในบางครั้งเมื่อท้องผูกเรื้อรังมากจนก้อนอุจจาระแข็งมาก อาจก่ออาการลำไส้อุดตันได้ (ปวดท้องมาก รุนแรง อาเจียนมาก ไม่ผายลม) ซึ่งเป็นอาการที่ควรต้องพบแพทย์ฉุกเฉิน

โดยทั่วไปอาการท้องผูกไม่รุนแรง เมื่อปรับพฤติกรรมการกิน/ดื่มน้ำและเคลื่อนไหวออกกำ ลังกายเพิ่มขึ้น อาการท้องผูกจะหายไปเอง แต่ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุด้วย ดังนั้น เมื่อเกิดอาการท้อง ผูกโดยไม่เคยเป็นมาก่อนและอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 1 - 2 สัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ แต่เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ภายใน 5 - 7 วันหลังใช้ยาเพื่อหาสาเหตุ และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยาแก้ท้องผูกถ้าใช้ยานานกว่านี้ดังกล่าวแล้ว

การดูแลตนเองเมื่อท้องผูก เช่นเดียวกับการป้องกันท้องผูกคือ

  • กินอาหารมีใยอาหารสูงในทุกมื้ออาหาร
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • เคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอไม่นั่งๆนอนๆ
  • ผ่อนคลายอารมณ์ ลดความเครียด ลดความกังวล
  • ฝึกขับถ่ายเป็นเวลา ควรเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และมีเวลาให้ในการขับถ่ายไม่รีบเร่ง
  • ไม่กลั้นอุจจาระจนเป็นนิสัย เมื่อปวดถ่ายควรรีบเข้าห้องน้ำเสมอ
  • ควรปรึกษาแพทย์เรื่องท้องผูกโดยไม่ควรใช้ยาแก้ท้องผูกเอง แต่ถ้าจะใช้ยาแก้ท้องผูกเอง ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
  • ควรพบแพทย์ เมื่อ
    • ดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วยังท้องผูก
    • ใช้ยาแก้ท้องผูก ประมาณ 5 - 7 วันแล้วท้องผูกยังไม่ดีขึ้น
    • ท้องผูกเกิดโดยไม่เคยมีอาการมาก่อน
    • มีอาการท้องผูกเรื้อรังนานเกิน 1 สัปดาห์
    • ท้องผูกสลับท้องเสียโดยไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
    • อุจจาระมีลักษณะเล็กแบนเหมือนริบบิ้น เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่า อาจมีลำไส้ใหญ่ตีบ ซึ่งอาจจากมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่
    • มีเลือดออกหลังอุจจาระบ่อย เพราะอาจเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวาร หรือมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
    • กังวลในอาการ
  • ควรรีบพบแพทย์หรือพบแพทย์เป็นการฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อท้องผูกร่วมกับ
    • ปวดเบ่งมากเมื่อถ่าย
    • ปวดท้องมาก และ/หรือคลื่นไส้ อาเจียน เพราะอาจเป็นอาการของ ลำไส้อุดตัน
    • อุจจาระเป็นเลือด