กระดานสุขภาพ

ผมมีอาการปวดปัจสาวะบ่อยเหมือนปัจสาวะไม่สุดแต่ไม่แสบขัดกับเหมือนอาหารไม่ย่อยครับ
Anonymous

10 สิงหาคม 2560 01:26:40 #1

มีอาการเมื่อ 6-7 วันที่ผ่านมาเลยไม่ตรวจที่โรงพยาบาล ผลตรวจฉี่ปรกติ หมอบอกเป็นอาการปกติ อ่านเจอในกระทู้พันทิปเขาว่าเป็นอาการหูรูดปัจสาวะทำงานผิดปกติให้ออกกำลังกายบ่อยๆจริงหรือปล่าวครับ เพราะผมช่วงนี้ก้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยนั่งทำงานหน้าคอมทั้งวันเลิกงานก้กลับห้องนั่งๆนอนๆ เมื่อสองเดือนก่อนออกกำลังกายแทบทุกวันครับ แล้วเมื่อคืนอยู่ๆตื่นมาปวดตรงอวัยวะเพศครับ พอมาดูปรากฎว่า หนังหู้มปลายมีอากาศฉีกขาดทั่งๆที่ไม่ใด้มีการร่วมเพศหรือช่วยตัวเองแต่อย่างใดเลยครับ แผลเวลามีอะไรไปโดนจะแสบมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอวัยเพศเเข็งตัวหรือปล่าว เพราะช่วงนี้อ่านเจอเขาบอกให้งดเลยทำให้พอแข็งตัวเลยเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อหรือปล่าวครับ ควรรักษายังไงครับ จะออกกำลังกายก็ลำบากครับ เพราะเวลาขยับตัวแผลจะโดนอัญฑะ มันจะแสบมากครับ ว่าจะรอดูอาการสัก 2-3 วันไม่หายจไปหาหมอครับ รบกวนคุณหมอช่วยตอบด้วยนะครับ ถ้ามีการใช้ภาษาไทยตกไปบ้างก็ขออภัยด้วยครับผมค่อนข้างจะตกภาษาไทยครับ
อายุ: 19 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 46 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 16.30 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

11 สิงหาคม 2560 19:22:55 #2

ถ้าแน่ใจว่าไม่มีความเสี่ยง คือยังไม่เคยร่วมเพศหรือเคยแต่ใช้ถุงยางทุกครั้ง ในกรณีของคุณ อาจจะเกิดจากการเสียดสีกับชุดชั้นในขณะออกกำลัง หรืออาจจะเป็นแผลที่เกิดจากแพ้สารที่ใช้บริเวณนี้ หรือแพ้ยากิน ซึ่งถ้ามีประวัติกินยา เช่น ยาแก้ไข้ ยาแก้อักเสบ ยาชุดจากร้านขายยา ก็อาจจะเป็นจาการแพ้ยา ต้องงดกินยาหรืองดใช้สารที่สงสัยว่าจะแพ้ ลองนึกดูว่าก่อนเป็นได้กินยาอะไรหรือไม่ถ้ามีก็เป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดจากการแพ้ยา ซึ่งลักษณะของแผลแพ้ยาจะคล้ายกับแผลที่โดนน้ำร้อนลวก ให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผลเช้าเย็น ใช้ยาทาแก้แพ้ เช่น triamcinolone ทาบางๆ เช้า เย็น กินยาแก้แพ้ เช่น atarax ครั้งละ 10 มิลลิกรัม เช้า เย็น ก็จะดีขึ้นใน 1 อาทิตย์ แต่ถ้ามีความเสี่ยง เช่นไม่ใช้ถุงยาง ก็อาจเป็นโรคติดต่อ โรคที่พบบ่อยคือ เริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น
มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผลเจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง โดยสรุป ขึ้นกับลักษณะของแผล แนะนำหาหมอหรือส่งรูปถ่ายชัดๆบริเวณที่เป็นแผลมาให้ดูเพิ่มเติมครับ

Deaw*****z

13 สิงหาคม 2560 03:02:06 #3

ขอบคุณครับ แผลหายแล้ว ซื้อน้ำเกลือมาเช็ดเช้าเย็นหายแค่ข้ามคืนครับ หายแบบเหมือนไม่เคยมีแผลมาก่อนครับ จำได้ว่าวันนั้นกินยาลดกรดที่ได้มาจากโรงพยาบาลครับ กินก่อนนอนพอตื่นเช้ามาก็มีแผลเลยครับ แผลจะเป็นตรงรอยต่อของหนังหุ่มอะครับ คล้ายๆแผลอับชื่น เช็ดแล้วแต่ไม่แห้งครับ ชุ่มตลอดวัน แต่ตอนนี้หายแล้วครับ แต่ตอนนี้มีเรื่องปัสสาวะบ่อยครับที่กลัว เวลานั้งหรือนอนนี้จะปวดตลอดครับ แต่เวลาเดินหรือวิ่งจะไม่ค่อยปวด เหมือนปัสสาวะไม่สุด ทั้งๆที่น้ำก็ไม่ได้กินเยอะคับ กินแค่สองอึ้กหลังอาหารแค่นั้นครับ การนั้งนานๆมีผลไหมครับ เพราะสองเดือนมานี้นั้งหน้าคอมทั้งวันเลยครับ กำลังกายก็ไม่ใด้ออกด้วยครับ
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

14 สิงหาคม 2560 05:36:58 #4

อาการที่่ามา อาจจะมีการอักเสบของระบบปัสสาวะ แบ่งเป็น 1 ร่วมกับการมีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ น่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือกามโรค ที่พบบ่อยคือ หนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียว ได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไปครับ ส่วนหนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิด ที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือ ด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ 1-2 อาทิตย์ ในปัจจุบันมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า ในกรณีที่เป็นๆหายๆ โดยทั่วไปมักเกิดจากการไปติดเชื้อใหม่ จากคู่นอน ซึ่งในผู้หญิงไม่ค่อยมีอาการผิดปกติและไม่รู้ว่าเป็นโรค เพราะฉะนั้นต้องรักษาทั้งคู่ครับ อย่างไรก็ตามพบว่าประมาณร้อยละ 50 อาจมีการติดเชื้อร่วมกัน คือเป็นทั้งหนองในแท้และเทียม ก็ต้องรักษาทั้งสองโรคคือ ทั้งฉีดและกิน 2 ไม่มีความเสี่ยง ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต เป็นต้น หรืออาจะเกิดจากการกั้นปัสสาวะไว้นานเกินไป โดยสรุป ถ้าไม่มีความเสี่ยงก็อาจจะเป็นการอักเสบทั่วไป แนะนำหาาหมอครับ

Deaw*****z

14 สิงหาคม 2560 07:03:06 #5

ขอบคุณคับ สังเกตุวันไหนที่นั่งอุจระนานจะปวดทั้งวันเลยคับ แต่วันนี้ลองนั่งแค่ 2 นาทีอาการจะแค่เตือนๆคับ ไม่เหมือนกับเมื่อวานคับ เมื่อวานเช้าถึงบ่ายราวๆ 10 ครั้งใด้ครับที่ปวด แต่วันนี้แค่ 4 ครั้งครับ พรุ้งนี้แหละครับว่าจะไปหาหมออีกรอบดูคับ