4 มกราคม 2560 18:56:02 #1

เป็นประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุ 16 ค่ะ (ตอนม.4เทอม 2) ตอนแรกก็เป็นได้ประมาณ 3-4 เดือน จากนั้นก็หายไปนานมากแบบครึ่งปีมีครั้งค่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมากค่ะ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นก็ดีเหมือนกัน จนกระทั่งตอนอายุ 17 (ตอนม.5เทอม2)เริ่มมีอาการแปลกๆค่ะ คือ มีเหมือนจ้ำเลือดขึ้นเต็มขา ขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาน 0.5 ซม. ไม่มีอาการคันใดๆทั้งสิ้น เป็นเหมือนเลือดอยู่ใต้ผิวค่ะ เท่าที่สังเกตตอนเช้าสีมันจะออกแดงเหมือนเลือด แต่พอตอนเย็นสีมันจะคล้ำๆ ช่วงแรกเป็นแค่ที่ต้นขา ก็นึกว่าแพ้อะไรสักอย่าง ก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไร จนต่อมาอีกประมาน 1-2 เดือน มันเริ่มลามไปเลื่อย จนเป็นเต็มทั้งขา สุดท้ายคือมาเป็นที่อก แล้วก็ช่วงท้องเลยเริ่มกลัว เลยเริ่มหาข้อมูลในเน็ต แต่ก็ไม่เจออาการอะไรที่ใกล้เคียงเลย ตัดสินใจไปหาหมอเกี่ยวกับเลือดโดยเฉพาะ ไปถึงก็ตรวจเลือดก่อนอย่างแรกเลยค่ะ เพราะคิดว่าเราน่าจะเป็นเกล็ดเลือดต่ำมาก เลยมีอาการเป็นจ้ำตามผิวหนัง แต่ผลออกมาปรากฎว่าเกล็ดเลือดปกติดีค่ะ  เลยเล่าให้หมอฟังว่าไม่เป็นประจำเดือนมาครึ่งปีได้แล้ว หมอก็แนะนำให้กินยาเพิ่มฮอร์โมน ตอนที่กินก็มีประจำเดือนปกติทุกเดือน กินอยู่ประมาณครึ่งปี แต่พอเลิกกินเท่านั้นล่ะค่ะ เป็นประจำเดือนได้เดือนเดียว ก็ไม่มาอีกเลยค่ะ จนตอนนี้อายุ 18 แล้วค่ะ ถ้านับจากตอนที่เลิกกินยาเพิ่มฮอร์โมน ก็ประมาณเกือบครึ่งปีค่ะ เลยอยากจะปรึกษาหมอว่าจะทำไงต่อไปดีคะ จะกลับไปกินยาเพิ่มฮอร์โมนดีมั้ยคะ หรือว่าจะซื้อยาบำรุงพวกหมอเส็งกินดีคะ ส่วนตัวคิดว่ากินยามานานแล้ว เคยได้ยินเค้าบอกว่ายาแบบนี้กินติดกันนานๆ ไม่ดี แล้วแบบนี้มีโอากาสที่จะเป็นโรคอะไรร้ายแรงมั้ยคะ  

4 มกราคม 2560 19:09:29 #2

6 มกราคม 2560 02:47:30 #3

6 มกราคม 2560 16:21:03 #4