กระดานสุขภาพ

อาการปวด
Anonymous

11 ธันวาคม 2559 03:34:17 #1

ก่อนหน้านี้มีอาการปวดเมื่อยขาด้านซ้าย ซึ่งเกิดจากการเดินมาก และนั่งยองๆ ขึ้นๆ ลงๆบ่อยๆ รักษาโดยการกินยาแก้ลด ปวด อักเสบ ไอบูโฟเฟน จนอาการดีขึ้น แต่มี อาการปวดตรงบริ้วณอื่นร่วมด้วยคือ 1.ตรงเส้นเอ็นข้างซ้ายใต้ท้องน้อยใกล้กระดูกเชิงกรานบวมกว่าข้างขวานิดหน่อย ไม่เจ็บ(อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นนานรึยังคะเพิ่งสังเกตเห็น) 2.ปวดตรงขาหนีบด้านซ้ายแบบ เป็นๆ หายๆ ไม่มีก้อน บางครั้งก็ปวดตรงอวัยวะเพศใกล้ๆ แบบเป็นๆหายๆเหมือนกัน *บางตอนนี้รักษาอาการเชื้อรา ที่อวัยวะเพศอยู่ด้วยคะ ใช้ยาสอด กับยาฆ่าเชื้อ * *ปกติแล้ว มีความผิดปกติของเอวที่ไม่เท่ากันอยู่ด้วย เอวผิดรูปคะ) ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกันรึเปล่าคะ
อายุ: 36 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ. ฤทธิ์ อภิญญาณกุล

แพทย์ออโธปิดิกส์

14 ธันวาคม 2559 07:57:05 #2

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน่อง อาจดีขึ้นได้เอง และดีขึ้นอย่างรวดเร็วได้ด้วยการใช้ยากลุ่มยาต้านอักเสบชนิดไ่ม่ใช่สเตอรอยด์(NSAIDs)ครับ อย่างไรก็ตาม อาการปวดตึงหรือเจ็บตรงตำแหน่งที่กล่าวมา(เอ็นข้างซ้ายใต้ท้องน้อยใกล้กระดูกเชิงกราน) น่าจะเป็นอาการปวดตรงตำแหน่งขาหนีบซ้าย หากอาการปวดอยู่ตรงตำแหน่งดังกล่าวจริง อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ครับ

1. อุ้งเชิงกรานอักเสบ(Pelvic inflammatory disease หรือ PID) จากอาการที่แจ้งมามีการรักษาอาการติดเชื้อราทางระบบสืบพันธ์ ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับอาการปวดบริเวณดังกล่าวได้ครับ หากมีอาการตกข่าวผิดปกติ(ทั้งปริมาณ กลิ่น สี)หรือ มีไข้ ร่วมด้วย ยิ่งน่าสงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อลามถึงอุ้งเชิงกรานอันเป็นที่อยู่ของมดลูก(Uterus) ท่อนำไข่(ovarian tubes) และรังไข่(Ovary) ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อทางด้านซ้ายเป็นสำคัญ อาการปวดจึงอาจมีการปวดร้าว(refered pain) มายังด้านข้างอวัยวะเพศ หรือ บริเวณแคม(Labia) ได้ครับ หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ผมแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมกับสูตินรีแพทย์เฉพาะทางครับ เนื่องจากอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ(Antibiotic drug) แทนที่การได้รับยาต้านเชื้อรา รวมถึงอาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมภาพทางรังสี(X-ray)หรืออัลตราซาวดน์(Ultrasonogram)ต่อไป

2. อาการปวดที่มีสาเหตุจากข้อสะโพก(Hip joint)และ/หรือโครงสร้างรอบข้อสะโพก(Joint capsule, periarticular tendon และ Psoas tendon) อันเกิดจากการใช้งาน และการบาดเจ็บ(ตามข้อมูลที่แจ้งว่าเดินและนั่งยองมาก) ซึ่งมักจะมีอาการปวดตรงขาหนีบ(Anterior groin) ร้าวลงด้านหน้าต้นขา(Anterior thigh)เป็นสำคัญ มักจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อมีการบิดหมุนข้อสะโพกด้านที่มีปัญหา ผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้นได้หากได้รับยากลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์(NSAIDs) เช่น Ibuprofen Diclofenac

3. โรคนิ่วในกรวยไตและ/หรือท่อไต ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ และเกิดอาการปวดหลังร้าวลงขาหนีบ และด้านหน้าต้นขาได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมีการปวดรุนแรงเมื่อมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ อาจมีไข้ร่วมด้วย หรือมีประวัติปัสสาวะมีสีผิดปกติ เช่น สีแดงเป็นน้ำล้างเนื้อ หรือปัสสาวะขุ่นผิดปกติ บางรายอาจมีก้อนนิ้วเคยหลุดออกมากับปัสสาวะมาก่อน ผู้ป่วยอาจจะมีอาการดีขึ้นได้หากได้รับยาแก้ปวดกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์(NSAIDs) เช่น Ibuprofen Diclofenac ได้เช่นกัน หากมีอาการดังกล่าว แนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมกับศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ(Urologist)

สำหรับอาการเอวไม่เท่ากัน ผมยังไม่แน่ใจว่ากล่าวถึงกระดูกสันหลังส่วนเอว(Lumbar spine)หรือไม่ หากหมายถึงกระดูกสันหลังส่วนอกและเอวคด(Thoracic/Lumbar/Thoracolumbar scoliosis) ผู้ป่วยมักจะมีปัญหาตัวเอียง ชายโครงซ้าย-ขวามีขนาดใหญ่ไม่เท่ากันทำให้เห็นเป็นก้อนนูน(Rib hump) รวมไปถึงระดับไหล่สองข้างอาจสูงไม่เท่ากัน(อาจสังเกตุโดยการมองผ่านกระจก) หากมีภาวะดังกล่าวร่วมกับอาการดังต่อไปนี้

- ชา อ่อนแรง

- ปวดหลังบ่อย ๆ

- ระบบรีเฟลกซ์(Reflex)ไวกว่าปกติ เช่น ขา และเท้ากระตุกง่าย

แนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์เฉพาะทางออร์โธปิดิกส์ เนื่องจากอาจจำเป็นต้องตรวจภาพถ่ายทางรังสี(X-ray) และ/หรือ MRI ต่อไป

Sang*****u

17 ธันวาคม 2559 04:51:25 #3

ขอบคุณมากคะ คุณหมอ แล้วถ้าตอนนี้ อาการปวดที่ขาหนีบซ้าย และปวดต้นขา หายแล้วหลังจากหยุดพักผ่อน ชั่วคราว แต่พอกลับไปทำงาน และต้องมีพฤติกรรม นั่งยองๆ แบบเดิม ตอนนี้เริ่มปวด และกดเจ็บ บริเวณสะโพก อันนี้ น่าจะเป็นิาการตามข้อสอง มั้ยคะ ส่วนเรื่องเอวไม่เท่ากัน เคยไปหาหมอกระดูก หมอบอกว่ากระดูกสันหลังคด เพราะ กระดูกซี่โครงสองข้างนูนไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้x-ray คะ