กระดานสุขภาพ

ขอคำปรึกษาเรื่องคันบริเวณช่องคลอดคะ
Hola*****a

15 มกราคม 2556 13:47:57 #1

ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้วเกิดการคันบริเวณช่องคลอดและมีตกขาวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังพบตุ่มสีเหลืองมีลักษณะแข็งบริเวณปากช่องคลอด จึงตัดสินใจไปหาสูตินารีแพทย์ พบว่าอาการตกขาวเกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียจึงให้ยาสอดและยารับประทานมาทาน และบอกว่าอาการตุ่มสีเหลืองบริเวณปากช่องคลอดจะหายเอง แต่จนแล้วจนรอด ปัจจุบันนี้ยังไม่หายเลยคะ และอีกเรื่องคือเมื่อเดือนที่แล้วหลังเป็นประจำเดือน เกิดตกขาวมากผิดปกติ จึงไปปรึกษาเภสัชกร ได้รับยาสอดมารักษา ปรากฎว่าหายดีคะ แต่พอเดือนนี้ หลังเป็นประจำเดือน เกิดอาการตกขาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พบว่า ตกขาวมีลักษณะสีเหลืองอมเขียวมีกลิ่นคาว ค่อนข้างเหลว ไม่มีฟอง และมีอาการอาการคัน  

ในส่วนของคำถามคะ

1 ตุ่มสีเหลืองนั้นจะเป็นอันตรายมากมั๊ยคะ เพราะหมอคนก่อนบอกว่าถ้าเป็นประจำเดือนครั้งต่อไปมันจะหายเอง 

2 การตกขาวครั้งล่าสุด สามารถซื้อยามารักษาเองได้หรือไม่คะ หรือควรพบแพทย์ดี

3 ถ้าเกิดการตกขาวเรื้อรังจะเกิดอันตรายมากน้อยเพียงใดคะ

ขอบพระคุณคะ

อายุ: 25 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.53 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

16 มกราคม 2556 08:46:11 #2

1. จากลักษณะของรอยโรค ที่ได้จากประวัตินั้น หมอคิดว่าน่าจะเป็นการอักเสบของต่อมไขมันนะครับ ปกติถ้าไม่มีการติดเชื้อซ้ำจากการแกะหรือเกา ก็มักจะหายไปเอง

2. จากลักษณะตกขาวนั้น น่าจะเป็นการติดเชื้อของแบคทีเรียนะครับ ปกติต้องทานยาปฎิชีวนะ แต่หากครั้งก่อนที่ใช้ยาสอด ส่วนใหญ่การรักษาแบบนี้เป็นการรักษาของการติดเชื้อรานะครับ

3. การตกขาวเรื้อรังนั้น เป็นสาเหตุได้หลายอย่าง และเกิดจากหลายปัจจัยครับ เช่น

  • การรักษาที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง อาจรักษาเชื้อราด้วยการสอดยา แต่จริงแล้วเป็นการติิดเชื้ออื่นๆ
  • เป็นตัวโรคอื่น ทำให้มีอาการตกขาวเป็นอาการแสดงครับ เช่น มีรอยโรคหรือเนื่อเยื่อผิดปกติบริเวณปากมดลูก ทำให้มีอาการตกขาว อาจปนเลือดได้ รักษาก็เหมือนจะดีขึ้นแต่ไม่หาย
  • รักษาถูกต้อง แต่ยังมี ลักษณะปัจจัยบางอย่างทำให้มีการติดเชื้อซ้ำๆ เช่น คนที่เป็นเบาหวาน คนที่อยู่ในวัยทอง หรือทานยากดภูมิต้านทาน จะเป็นเชื้อราได้บ่อย
  • เป็นต้นครับ

ดังนั้น หมอแนะนำให้พบสูตินรีแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเรื่องตุ่มที่ยังไม่หาย และ ตรวจภายในเพื่อทราบแน่ชัดว่าเป็นการติดเชื้ออะไรกันแน่ จะได้รักษาอย่างถูกต้องครับ เพราะ รอยโรคที่ผิวหนังบางอย่างอาจจำเป็นต้องตรวจร่างกายเพื่อการวินิจฉัยครับ

Hola*****a

16 มกราคม 2556 13:28:42 #3

ขอบพระคุณคุณหมอมากๆเลยคะ ^^