กระดานสุขภาพ

ตกขาวสีน้ำตาล
Anonymous

3 เมษายน 2559 16:42:35 #1

ประมาณวันที่ 15 มีนาคม มีอาการคัดหน้าอกปวดท้องน้อยคล้ายประจำเดือนจะมา จนปัจจุบันยังไม่มาเลยค่ะ โดยมีอาการคัดหน้าอกอยู่เรื่อยๆ แล้วรู้สึกไม่สบายท้องค่ะ แล้วระยะเวลาลาตั้งแต่วันที่ 15 มีนาเป็นต้นมา มีอาการตกขาวตลอดค่ะ เป็นสีน้ำตาลจางๆบ้าง ติดผ้าอนามัยเป็นทางค่ะจนเมื่อวันที่ 31 มีนาคมได้มีการกินยาสตรีของยี่ห้อหนึ่งในตอนกลางคืนค่ะ กินมากกว่าที่เค้ากำหนดไว้1เท่าตัวค่ะ แล้วในช่วงเข้าของวันที่ 1 เมษามีอาการตกขาวเป็นสีน้ำตาลเข้มออกไปทางดำ และน้ำตาลปกติออกมาค่อนข้างเยอะค่ะติดอยู่ที่ผ้าอนามัย เย็นวันนั้นได้มีการไปพบสูตินารีแพทย์ค่ะ หมอได้ทำการตรวจสอบการตั้งครรภ์ผลเป็นลบค่ะ และได้มีการตรวจภายในหมอบอกว่าไม่มีความผิดปกติจากการตรวจภายในค่ะ และนัดให้ไปฟังผลตรวจมะเร็งในวันที่ 22 เมษาพร้อมกับให้ยาปรับประจำเดือนมาค่ะ หมอให้เหตุผลว่าอาจเป็นเพราะน้ำหนักเกินมาตรฐานทำให้ประจำเดือนมาคาดเคลื่อนค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ - อาการตกขาวสีน้ำตาลเกิดจากการทานยาสตรีรึป่าวค่ะ - ตกขาวสีน้ำตาลเป็นอันตรายรึป่าวค่ะ ไม่มีอาการคันนะคะ ไม่มีกลิ่นโชยออกมานอกเสียจากก้มไปดมที่ผ้าอนามันจะได้กลิ่นคาวเล็กน้อยค่ะ - การที่หมอตรวจภายในแล้วไม่พบความผิดปกติ ผลตรวจมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสเป็นมากน้อยแค่ไหนค่ะ - อาการปวดท้องรู้สึกไม่สบายท้อง ถ่ายเหลวและรู้สึกเหมือนมีลมในท้องเกิดจากสาเหตุอะไรคะ แล้วอันตรายมั้ย เป็นมาประมาณ1อาทิตย์ได้แล้วค่ะ **เพิ่มเติมนิดนึงค่ะ ดิฉันมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตอนอายุ15-16ปี ปัจจุบันไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ทิ้งระยะห่างมาประมาณ 2-3ปีค่ะ รบกวนคุณหมอตอบข้อสงสัยทีนะคะไม่สบายใจจริงๆ
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 95 กก. ส่วนสูง: 166ซม. ดัชนีมวลกาย : 34.48 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

6 เมษายน 2559 15:23:31 #2

ส่วนลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ซึ่งจากที่กล่าวมา หมอคิดว่า สาเหตุด้านน้ำหนักมีผลอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องประจำเดือนลักษณะนี้ครับ และปกติแล้วไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มที่กล่าวมานั้น ในตัวยาประเภทนี้ เป็นยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์นั้นอาจคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูก อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นได้ แต่จะไม่มีฮอร์โมนที่ทำให้เยื่อบุหลุดลอกสลายตัวออกมาได้ ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ อาจทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก หรือ มีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ โดยในความเห็นของหมอ ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกตินั้น เกิดจากอะไร

ในเรื่องของอาการตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

Anonymous

7 เมษายน 2559 18:05:40 #3

ขอบคุนค่ะคุนหมอ ขอตามต่ออีกนิด แล้วในกรณีที่เรากินยาประบประจำเดือนที่สูตินารีแพทย์จ่ายให้ มีผลทำให้ถ่ายเหลวปัสสาวะเป็นสีดำมั้ยคะ อีกเรื่องค่ะตกขาวไม่มีอาการคันค่ะ แทบไม่มีกลิ่นด้วยแตากลับเป็นสีออกเหลืองเป็นทางๆไม่เยอะมากจะอันตรายมั้ยคะ