เรียน คุณ Aphisara.Phongseeda,

คำถามสั้น ๆแต่ตอบยาก เพราะไม่ทราบวัตถุประสงค์ของคำถามครับ ขอตอบคร่าว ๆนะครับ

คำว่า วิตามิน มีรากศัพท์ มาจาก VITAMINES (VITA ชีวิต + AMINE กรดอะมิโน) หมายถึง กรดอมิโนที่มีความสำคัญต่อชีวิต

ต่อมาพบว่าไม่จำเป็นต้องโปรตีนหรือกรดอมิโนก็ได้ จึง เรียกใหม่ ว่า Vitamins หมายถึง สารจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ หากขาดไปอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย หรือผิดปกติได้

การค้นพบมักเป็นโดยบังเอิญ เช่น คุณหมอชาวญี่ปุ่นพบว่า ทหารที่ขาดการรับประทานเนื้อสัตว์ จะมีอาการมือเท้าชา แขนขาบวม มีโรคหัวใจแทรก (Beri Beri - ซึ่งเป็นอาการขาดวิตามิน บี 1 - Thiamine) หรือ ทหารที่ลงเรือนาน ๆมักมีอาการเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิด-ลักเปิด) แต่เมื่อให้รับประทานส้ม อาการดังกล่าวจะหายไป คุณคงเดาได้ว่า มันคือการค้นพบแหล่งของวิตามินซี นั่นเอง

วิตามิน แบ่งเป็น ละลายน้ำ (B, C) กับ ละลายไขมัน (A, D, E & K) เริ่มต้นตั้งชื่อตามตัวอักษรที่ค้นพบ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

• บางครั้งก็มีการเปลี่ยนชื่อเรียกไป เช่น วิตามิน H หรือ วิตามินบี 7 - หรือ ไบโอติน พบมากในไข่ขาว
  
  
• หรือวิตามิน บี 9 - กรดโฟลิก พบมากในเนื้อแดง ผักใบเขียว ที่โฆษณาให้คุณแม่ดื่มนมเสริม เพื่อช่วยพัฒนาระบบสมองของทารก
  
  
• บางครั้งก็พบอนุพันธ์ของวิตามินเพิ่มขึ้น เช่น วิตามินดี แบ่งเป็น D1, D2 และ D3 มีความจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายแตกต่างกัน หรือวิตามิน เค - K1 ช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือด แต่ K2 กลับช่วยเรื่องป้องกันกระดูกพรุน
  
  
• หากพบว่าเป็นอนุภาคเดี่ยว ๆเรามักเรียกว่าเป็นแร่ธาตุ มากกว่า เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง แบบนี้ร่างกายขาดก็จะมีปัญหาสุขภาพเหมือนกัน

หวังว่าจะตอบคำถามของคุณนะครับ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

ขอบคุณมากๆค่ะ คุณหมอ กระจ่างขึ้นเยอะ