กระดานสุขภาพ

เป็นแผลที่อวัยวะเพศ
G_Gu*****S

30 มีนาคม 2558 02:18:52 #1

สวัสดีครับคุณหมอ
ผมอยากขอคำปรึกษาในการดูแลรักษาแผลที่หนังหุ้มอวัยวะเพศครับเป็นแผลที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียครับผมได้ไปพบแพทย์มาแล้วครับแต่ขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดทางคุณหมอไม่ได้ให้คำแนะนำ ผมจึงอยากได้คำแนะนำหน่อยครับซึ่งตอนนี้ผมล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ไม่มียาทา ล้างเสร็จแล้วก่อใช้กระดาษทิชชูซับให้แห้งแล้วก็ดึงหนังหุ้มปลายขึ้นไม่ได้เปิดแผลไม่ได้เอาผ้าก๊อตพันปิดไว้ แต่จะมีน้ำเหลืองออกมาจากแผลอยู่ตลอดเวลาไม่มีมีกลิ่นใดๆ ไม่มีหนอง ไม่มีเลือดผสมออกมาด้วย ไม่ทราบว่าการดูแลแบบนี้ผมดูแลถูกหรือผิดครับ หรือผมควรเปิดหนังหุ้มอวัยวะเพศแล้วใช้ผ้าก็อตพันปิดแผลไว้ครับแต่ทำแบบนั้นผมเจ็บแผลมากเลยครับ

ขอบคุณครับ

อายุ: 26 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 60 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.76 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

31 มีนาคม 2558 13:43:45 #2

สำหรับเรื่องแผลที่อวัยวะเพศ ถ้ามีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ เช่น เที่ยวผู้หญิง ไม่ใช้ถุงยาง มีคู่นอนหลายคน

1. โรคที่พบบ่อยคือ เริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น
มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผลเจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรงและหายเอง

2. แผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง เกิดหลังมีความเสี่ยง 10- 90 วัน แผลจะมีขอบแข็ง ไม่เจ็บ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum รักษาโดยฉีดยา benzathine penicillin 2.4 ล้านยูนิต โรคนี้พบบ่อยในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (เกย์)

ในกรณีของคุณ ถ้าไม่มีความเสี่ยง และหาหมอมาแล้ว ให้ใช้น้ำเกลือล้าง แล้วซับเบาให้แห้ง ไม่ต้องใช้กระดาษทิชชู่ หรือ ผ้าพันแผล เพราะจะติดและเจ็บเวลาเอาออก หลังจากล้างแล้ว ให้ดึงหนังหุ้มให้คลุมส่วนหัวไว้เหมือนเดิม เพราะถ้ารูดลง อาจจะบวมได้ ถ้าไม่แน่ใจหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง ส่งรูปชัดๆมาให้ดูเพิ่มเติมก็ได้ครับ

G_Gu*****S

2 เมษายน 2558 09:49:18 #3

http://haamor.com/media/images/webboardpics/G_GuS-21167-1.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/G_GuS-21167-2.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/G_GuS-21167-3.jpg

http://haamor.com/media/images/webboardpics/G_GuS-21167-4.jpg

link ของรูปครับคุณหมอ  ตอนที่ผมไปหาหมอ คุณหมอฉีดยาให้ 1 เข็ม ด้วยครับ และได้ยาฆ่าเชื้อมาทาน 3 ตัว 1 ในนั้นมี อะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ที่ต้องทานทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด) แต่แผลที่เกิดนั้นไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์น่ะครับ

ขอบคุณครับ

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

4 เมษายน 2558 03:26:53 #4

ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้เกิดจากเพศสัมพันธ์ ก็ไม่เป็โรคติดต่อ รูปที่ส่งมาไม่ค่อยชัด เห็นเป็นแผลตื้นๆ แดงๆ ที่บริเวณส่วนหัวและหนังหุ้ม อาจจะเกิดจากการแพ้หรือ ระคายเคือง

สารที่ใช้ เช่น สบู่ยา ครีม เจลอาบน้ำ สำรหรับยาที่คุณได้ เนื่องจาลางครั้งการวินิจฉัยโรค อาจจะไม่สามารถบอกได้แน่นอน แนะนำให้กินให้ครบทั้งยาแก้อักเสบ รวมทั้งยารักษาเริม และรักษาความสะอาดตามที่ได้ตอบไปแล้ว เมื่อหายแล้ว ถ้าหนังหุ้มยาวเกินไปอาจต้องขลิบเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่อับชื้น การขลิบหนังเป็นการทำศัลยกรรมที่ถือว่าไม่ซับซ้อน แพทย์ศัลยกรรมทั่วไปทำได้ครับ ต้องมีการฉีดยาชา ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงน่าจะเสร็จ ถ้ารักษาแผลให้ดี ประมาณ 2 อาทิตย์ แผลก็จะหายดี ประโยชน์ของการขลิบ คือ ทำความสะอาดง่ายไม่เกิดแผลเวลามีเพศสัมพันธ์และมีการวิจัยที่ทวีปแอฟริกาพบ ว่าการขลิบหนังหุ้มปลายช่วยลดการติดเชื้อเอดส์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ขลิบ 40% แต่ ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้

G_Gu*****S

6 เมษายน 2558 03:16:12 #5

ใช่ครับ แผลจะเป็นแผลแดงๆ ที่เห็นเป็นแผลที่เกิดจากหนังชั้นบนลอกออกครับ เพราะก่อนไปพบแพทย์นั้นผมได้ซื้อยา คีโตนาส มาทาแต่พอทาได้ประมาณ 2 วันก็รู้สึแแสบ และร้อน ผมจนหยุดทาเหมือนตัวยาที่ทามันจะกัดผิวหนังหลังจากนั้นก่อล้างแผลมาเรื่อยๆ พอเข้าวันที่ 4 ผิวหนังบริเวณที่ทายาและโดนยาที่ทาก็เริ่มลอกออกครับเลยเกิดเป็นแผลแดงๆที่คุณหมอเห็นหลังจากนั้นผมก๋อไปพบแพทย์ครับเพราะทั้งเสบและปวดเวลาโดน จึงตัดสินใจไปพบแพทย์หลังจากทานยาที่แพทย์ให้ก็ไม่ปวดไม่แสบอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆครับ

 

ขอบคุณครับ