กระดานสุขภาพ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ตามอัณฑะบวม
Anonymous

18 สิงหาคม 2557 18:34:56 #1

ช่วงวัน 1 ส.ค. ช่วงเช้ามีอาการปวดปัสสาวะตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะพึ่งปัสวะเสร็จและเจ็บตอนใกล้จะสุด หากกินน้ำตลอดเวลา (ชั่วโมงละ เกือบ 1 ลิตร) ปัสสาวะจะเป็นสีใส บางครั้งไม่มีอาการเจ็บตอนใกล้จะสุด แต่หากช่วงไหนไม่ได้กินน้ำ (ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ปล. ช่วงก่อนนอน) ปัสสาวะจะเป็นสีเหลือง บางครั้งมีเลือดปนตอนใกล้จะสุด แทบไม่ได้นอน ลุกไปเข้าห้องน้ำตลอด

วันที่ 2 ส.ค. เดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยใช้ประกันสังคมเป็นครั้งแรก ตรวจร้างกายกับพยาบาล(ความดัน วัดไข้ ทั้งหมดปกติ)และเก็บตัวอย่าง ปัสสาวะไปตรวจ หลังจากนั้นเข้าพบหมอ (ตอนเข้าไปหมอกำลังเล่น facebook อยู่) แจ้งลักษณะอาการ พร้อมบอกด้วยว่า "หน้าจะเป็น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ" หลังจากนั้นหมอก็เริ่มเขียนใบสั่งยาพร้อมพูดว่า "ผลตรวจปัสสาวะ ก็หน้าจะบอกเป็นยังงั้น"(ไม่รู้ว่าได้ดูรึยัง ขนาดตอนตรวจแจ้งว่าแพ้ยากลุ่ม นาโปรเซน ตอนจ่ายยายังจ่ายมาแผงนึงเลย โชคดีที่เภสัชถามอีกรอบถึงได้รู้) หลังจากนั้นได้ยามา 2 ตัวคือ ยาปฏิชีวนะ กับ ยาแก้ปวด (Diclofenac 25 mg) ยาปฏิชีวนะ กินต่อเนื่องจนหมด แต่ ยาแก้ปวด ทานไปแค่ 2 เม็ด แล้วเหมือนจะแพ้ยา เลยหยุดไป 3 วัน และลองกลับมาทานใหม่เพราะรู้สึกปวด ปัสสาวะตลอดเวลา

วันที่ 3 ส.ค. - 17 ส.ค. หายเป็นปกติแล้ว แต่ยังมีอาการปวดปัสสาวะตลอดเวลา แต่น้อยลง บางครั้งไม่ปวดเลย

วันนี้ (18 ส.ค.) กลับมามีอาการปวดปัสสาวะตลอดเวลา อัณฑะข้างขวาบวม เวลาจับเจ็บนิดหน่อย 

คำถาม 1. จากอาการพอจะทราบไหมครับว่าเป็นโรคอะไร 3. วันพรุ่งนี้เย็นผมจะไปปั่นจักยานทางไกล ควรงดก่อนรึป่าวครับ

อายุ: 23 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 73 กก. ส่วนสูง: 178ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.04 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

20 สิงหาคม 2557 03:14:28 #2

อาการที่เล่ามาเป็นอาการของการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ

1. ถ้าไม่มีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ เช่นใช้ถุงยางทุกครั้งที่มีกรร่วมเพศ ก็จะเกิดจากการอักเสบของท่อปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ หรือกรวยไตหรือท่อไต สาเหตุจากการกินน้ำน้อน กลั้นปัสสาวะไว้นานหรือเป็นนิ่ว รักษาโดยการกินยาแก้อักเสบที่ออกฤทธิ์ได้ดีในระบบปัสสาวะ เช่น ciprofloxacin กินครั้งละ 250 มิลลิกรัม เช้าเย็นประมาณ 2 อาทิตย์ หรือ

2. ถ้ามีความเสี่ยง เช่น ก่อนเป็น ไปเที่ยวผู้หญิงหรือมีคู่นอนหลายคนไมใช้ถุงยาง ก็อาจเป็นการอักเสบจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้บ่อย คือหนองในแท้ และหนองในเทียม หนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า
ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียวได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไป หนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิดที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ 2 อาทิตย์ ในปัจจุบันอาจมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า

ในกรณีของตุณมีการอักเสบและบวมที่ลูกอัณฑะด้วย ถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยง ก็น่าจะเป็นจากเชื้อหนองใน ซึ่งต้องรักษาโดยการฉีดยา ceftriaxone ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 3-5 วันและกินยารักษาหนองในเทียมต่ออีก 2 อาทิตย์ และควรงดขึ่จักรยานก่อน