กระดานสุขภาพ

กินยาคุมแล้วหัวตอนที่เป็นประจำเดือนค่ะ
Kaja*****i

23 กรกฎาคม 2557 14:22:21 #1

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ขอถามว่า....เวลาที่กินยาคุมแล้วจะปวดหัวมากๆตอนที่เป็นประจำเดือน ปวดจนประจำเดือนหายค่ะ แต่ถ้ากินยาคุมฉุกเฉินกลับไม่มีอาการปวดหัวเลยค่ะ ทำไมเป็นแบบนี้คะ

อายุ: 29 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 75 กก. ส่วนสูง: 162ซม. ดัชนีมวลกาย : 28.58 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

25 กรกฎาคม 2557 12:51:04 #2

เรียน คุณ kajang.noi,

เนื่องจากคุณไม่ได้ให้ข้อมูลของยาคุมกำเนิดมา และรับประทานมาแล้วกี่แผง โดยทั่วไปยาคุมกำเนิดปกติ อาการไม่พึงประสงค์จะค่อย ๆดีขึ้น หลังจากรับประทานยาได้ 2-3 เดือน ทั้งเรื่องอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือเลือดประจำเดือนมากะปริบกะปรอยระหว่างเดือน หากอาการของคุณยังไม่ดึขึ้น หลังจาก 2-3 เดือนแล้ว แนะนำให้ปรึกษาสูติ-นรีแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเหมาะสมกับคุณ

ยาคุมกำเนิดปกติ ประกอบด้วยตัวยาฮอร์โมนเอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน ซึ่งมีปริมาณมากน้อย แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งการคัดเลือกต้องปรับให้เหมาะกับลักษณะทางกายภาพและรูปแบบการมีประจำเดือน

- ถ้ามีรูปร่างผู้หญิงชัดเจน อกเอว เด่นชัด หน้าอกค่อนข้างใหญ่ มีประจำเดือนมาปริมาณมาก หรือมาหลายวัน เช่น 7 วัน ลักษณะเช่นนี้ อาจเลือกยาที่มีปริมาณเอสโตรเจนน้อย เพื่อให้สมดุลฮอร์โมนในร่างกายเข้ากับ โปรเจสโตรเจนที่เสริมเข้าไป

- หากมีรูปร่างค่อนข้างตรง หน้าอกไม่ค่อยมี ประจำเดือนมาปริมาณน้อย หรือมาห่างกันมาก เช่น 35 วัน หรือประจำเดือนมาน้อย 2-3 วันก็หมดแล้ว แบบนี้แพทย์มักเลือกยาคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนค่อนข้างสูง เพื่อให้สมดุลกับร่างกาย

นอกจากนี้ต้องพิจารณาร่วมด้วยว่ามีข้อห้ามใช้ในการใช้ยาคุมกำเนิดปกติหรือไม่ เช่น มีก้อนที่เต้านม หรือรังไข่ มีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไมเกรนชนิดที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา มะเร็งตับ เป็นต้น

ส่วนยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นยาคุมชนิดมีฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนชนิดเดียว แต่มีปริมาณสูงมาก (1,500 ไมโครกรัม เปรียบเทียบกับชนิดปกติ 75-150 ไมโครกรัม) เพื่อออกฤทธิ์

- ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว จนตัวอสุจิผ่านไปได้ยาก

- ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง เพื่อให้ไข่เดินทางมาถึงมดลูกช้าลง โอกาสที่จะผสมกับตัวอสุจิก็จะน้อยลง

- ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ จนตัวอ่อน (หากมีการผสมของไข่กับอสุจิ) ไม่สามารถฝังตัวได้

จากข้อมูลของบริษัทยา ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่าสองแผงต่อเดือน เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งมักเกิดที่ท่อนำไข่ ที่มีความบาง เมื่อเกิดการฝังตัว จะทำให้เนื้อเยื่อท่อนำไข่ฉีกขาด เลือดออกตกในช่องท้อง ในบางรายถึงขั้นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุมาแล้ว

แต่ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย พบว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน "มากเกินกว่า 3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะพบว่ามีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆมากกว่าสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมาก่อน ที่พบได้มากคือ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งตับ ทางการแพทย์จึงใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่อถุงยางอนามัยรั่วหรือฉีกขาด หรือถูกข่มขืน

สรุป ให้ลองรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดเดิม ต่อเนื่องไปจนครบ 3 เดือน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาคุมกำเนิดทีมีปริมาณฮอร์โมนเหมาะสม หากเปลี่ยนยี่ห้อแล้วยังคงมีอาการ แนะนำให้ใช้วิธีอื่น ๆเช่น การใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือห่วงทองแดง หรือใช้ถุงยางอนามัย ก็จะลดการรับฮอร์โมนของตัวคุณลงได้

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเรา เพื่อศึกษาทางเลือกอื่น ๆครับ

การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์