กระดานสุขภาพ

มีโอกาสท้องมากน้อยแค่ไหน?
Anonymous

22 กรกฎาคม 2558 06:46:18 #1

สวัสดีค่ะ ขอเขียนลำดับเหตุการณ์ให้เลยนะคะ 1. ปจด.เดือนที่แล้วมาวันที่ 18 กรกฎาค่ะ 2. เช้าวันที่ 13 ของเดือนนี้ มีพสพ.ค่ะ คือเป็นครั้งแรกค่ะ สอดใส่ไปได้ครึ่งนึง ออกมาชักแล้วหลั่งนอก ไม่สวมถุงยาง แล้วล้างและปัสสาวะ แล้วก็ต่ออีก 2 ครั้งค่ะ เหมือนเดิมทุกครั้งคือสอดไปครึ่งเดียว และออกมาชัก หลั่งนอก ล้างและปัสสาวะ 3.ทานยาคุมฉุกเฉิน (Postinor) ไปตอน 5 ทุ่มของวันนั้น (ประมาณ 11 ชม.หลังจากมีพสพ.) , ทาน 8 โมงเช้าวันที่ 14 อีก 1 เม็ด (ทานครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ) 4. มีมูกใสๆออกมาครั้งเดียว แต่จำไม่ได้ว่าช่วงไหน จำได้แค่ช่วงหลังมีพสพ. วันที่ 13 จนถึง ก่อนจะมีตกขาวสีน้ำตาลของเย็นวันที่ 14 5. วันที่ 15 มีตกขาวสีเขียวๆเล็กน้อย แต่มีทุกวันจนถึงวันที่ 18 *** ประมาณ 2 เดือนที่แล้ว เคยไปหาหมอแล้วปรากฎว่าติดเชื้อในท่อปัสสาวะ หมอให้ยาฆ่าเชื้อมาให้ทาน 1 แผง ทานหมดแผงแล้วค่ะ แต่ก็ยังมีตกขาวเขียวๆอีกนะคะ แต่น้อยลงแล้วค่ะ ไม่มีกลิ่น ไม่คันนะคะ เลยไม่ได้ติดใจอะไรมาก 6. วันที่ 19 มีอาการตกขาวสีขาวขุ่นและใสเล็กน้อย ไม่มีตกขาวสีเขียวแล้วค่ะ รวมถึงปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติด้วยค่ะ บ่อยจนเบื่อประตูห้องน้ำ ดื่มแล้วเข้าห้องน้ำทันที และมีอาการปวดท้องน้อย คัดเต้านม สิวขึ้น คล้ายปจด.จะมา รู้สึกเหมือนเลือดปจด.จะไหลออกหลายครั้งค่ะ จนถึงปัจจุบันก็ยังปวดท้องน้อย ปจด.ก็ยังคงไม่มา บางคืนปวดหนักเลยค่ะ เหมือนวันที่ปจด.มาแรกๆ ปวดสักพักหายค่ะ แต่ปวดบ่อย และยังเข้าห้องน้ำบ่อยเหมือนเดิมค่ะ แต่น้อยกว่าแรกๆแล้วค่ะ *** เป็นคนที่ปจด.มาไม่เคยตรงเลยค่ะ บางเดือนไม่มาเลย แต่ไม่เคยหยุดเกินเดือนเดียว ,ปกติจะปวดท้องน้อยก่อนปจด.จะมาก่อน 2 อาทิตย์ หากปจด.มาแล้วจะปวดท้องหนักเลยค่ะ เดินไม่ไหวเลย (?) อยากจะทราบว่า ในกรณีนี้ อาการเหล่านั้นจะมีโอกาสท้องมากหรือน้อยแค่ไหนค่ะ หรือว่าแทบไม่มีเลย??? ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
อายุ: 22 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 55 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.20 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Patt*****r

23 กรกฎาคม 2558 07:26:10 #2

แยกบรรทัดให้อ่านง่ายนะค่ะ 1. ปจด.เดือนที่แล้วมาวันที่ 18 กรกฎาค่ะ 2. เช้าวันที่ 13 ของเดือนนี้ มีพสพ.ค่ะ คือเป็นครั้งแรกค่ะ สอดใส่ไปได้ครึ่งนึง ออกมาชักแล้วหลั่งนอก ไม่สวมถุงยาง แล้วล้างและปัสสาวะ แล้วก็ต่ออีก 2 ครั้งค่ะ เหมือนเดิมทุกครั้งคือสอดไปครึ่งเดียว และออกมาชัก หลั่งนอก ล้างและปัสสาวะ 3.ทานยาคุมฉุกเฉิน (Postinor) ไปตอน 5 ทุ่มของวันนั้น (ประมาณ 11 ชม.หลังจากมีพสพ.) , ทาน 8 โมงเช้าวันที่ 14 อีก 1 เม็ด (ทานครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ) 4. มีมูกใสๆออกมาครั้งเดียว แต่จำไม่ได้ว่าช่วงไหน จำได้แค่ช่วงหลังมีพสพ. วันที่ 13 จนถึง ก่อนจะมีตกขาวสีน้ำตาลของเย็นวันที่ 14 5. วันที่ 15 มีตกขาวสีเขียวๆเล็กน้อย แต่มีทุกวันจนถึงวันที่ 18 *** ประมาณ 2 เดือนที่แล้ว เคยไปหาหมอแล้วปรากฎว่าติดเชื้อในท่อปัสสาวะ หมอให้ยาฆ่าเชื้อมาให้ทาน 1 แผง ทานหมดแผงแล้วค่ะ แต่ก็ยังมีตกขาวเขียวๆอีกนะคะ แต่น้อยลงแล้วค่ะ ไม่มีกลิ่น ไม่คันนะคะ เลยไม่ได้ติดใจอะไรมาก 6. วันที่ 19 มีอาการตกขาวสีขาวขุ่นและใสเล็กน้อย ไม่มีตกขาวสีเขียวแล้วค่ะ รวมถึงปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติด้วยค่ะ บ่อยจนเบื่อประตูห้องน้ำ ดื่มแล้วเข้าห้องน้ำทันที และมีอาการปวดท้องน้อย คัดเต้านม สิวขึ้น คล้ายปจด.จะมา รู้สึกเหมือนเลือดปจด.จะไหลออกหลายครั้งค่ะ จนถึงปัจจุบันก็ยังปวดท้องน้อย ปจด.ก็ยังคงไม่มา บางคืนปวดหนักเลยค่ะ เหมือนวันที่ปจด.มาแรกๆ ปวดสักพักหายค่ะ แต่ปวดบ่อย และยังเข้าห้องน้ำบ่อยเหมือนเดิมค่ะ แต่น้อยกว่าแรกๆแล้วค่ะ *** เป็นคนที่ปจด.มาไม่เคยตรงเลยค่ะ บางเดือนไม่มาเลย แต่ไม่เคยหยุดเกินเดือนเดียว ,ปกติจะปวดท้องน้อยก่อนปจด.จะมาก่อน 2 อาทิตย์ หากปจด.มาแล้วจะปวดท้องหนักเลยค่ะ เดินไม่ไหวเลย (?) อยากจะทราบว่า ในกรณีนี้ อาการเหล่านั้นจะมีโอกาสท้องมากหรือน้อยแค่ไหนค่ะ หรือว่าแทบไม่มีเลย???
Anonymous

24 กรกฎาคม 2558 14:30:26 #3

ขออนุญาตแยกใหม่ 1. ประจำเดือนเดือนที่แล้วมาวันที่ 18 ค่ะ ปกติแล้วเป็นคนที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอค่ะ แต่ไม่เคยขาดเกิน 1 เดือน หยุด 1 เดือน เดือนถัดไปจะมีประจำเดือนแน่นอนค่ะ 2. มีพสพ.วันที่ 13 สอดใส่ครึ่งนึงค่ะ เพราะเป็นครั้งแรก แล้วออกมาชักืและหลั่งนอก ล้างและปัสสาวะ และทำแบบนี้ 3 ครั้ง 3. ทานยาคุมฉุกเฉิน Postinor หลังจากมีพสพ.ได้ 11 ชั่วโมง เม็ดที่สองทานเช้าวันที่ 14 คือ 7 ชั่วโมงหลังทานเม็ดแรก 4. มีมูกใสๆออกมา 1 ครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าช่วงไหน จำได้ว่าหลังมีพสพ. วันที่ 13 จนถึง ก่อนจะมีตกขาวสีน้ำตาลของเย็นอีกวัน 5. วันที่ 15 มีตกขาวปนสีเขียวนิดเดียว แต่มีทุกวันค่ะ จนถึง วันที่ 18 6. วันที่ 19 มีตกขาวขุ่นๆใสๆ ไม่มีสีเขียวปนแล้วค่ะ รวมถึงอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ปัสสาวะจางๆนะคะ อาจเพราะดื่มน้ำเยอะ และมีอาการปวดท้องน้อย คัดเต้านม สิวขึ้น คล้ายอาการประจำเดือน ปัจจุบันยังคงปวดท้องน้อยและปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติค่ะ ประจำเดือนยังคงไม่มา
Anonymous

24 กรกฎาคม 2558 14:30:48 #4

ทำไมมันไม่แยกบรรทัดกัน TT
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

27 กรกฎาคม 2558 09:49:59 #5

หมอขอตอบแยกเป็นประเด็นไป ตามนี้นะครับ

1. ในการมีเพศสัมพันธ์ที่มีการสอดใส่อวัยวะเพศ แม้สุดท้ายจะไม่ได้หลั่งด้านใน หรือ สอดใส่ก่อนที่จะใส่ถุงยางอนามัย ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้นะครับ เนื่องจากในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์จะมีอสุจิออกมากับสารคัดหลั่งที่ออกมาในช่วงนี้ แม้ปริมาณอสุจิจะน้อย ก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งการที่เช็ดนำ้อสุจิหลังมีเพศสัมพันธ์หรือก่อนสอดใส่ หรือ การไปปัสสาวะก่อนที่จะร่วมเพศ ก็ไม่ได้ช่วยทำให้การตั้งครรภ์น้อยลงหรือเป็นการลดปริมาณอสุจินะครับ เพราะ อสุจิจะออกมาช่วงที่มีอารมณ์ทางเพศและช่วงสอดใส่อวัยวะเพศ แม้จะยังไม่ได้หลั่งครับ ดังนั้นในการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันนั้น มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์แน่นอนครับ ซึ่งการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็พอจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ซึ่งหากอยู่ในช่วง 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรทานยานี้นะครับ และ หากทานถูกต้อง ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพประมาณ 89 - 92 % ครับ หรือหากจะเข้าใจง่ายๆ คือ ทานยานี้ 10 คน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 9 คนครับ ซึ่งในยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น จะมีตัวยาที่เป็นฮฮร์โมน ซึ่งมีกลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ต่างๆ ทำให้ยับยั้งการตกไข่ ผลทำให้ไม่มีการตกไข่ หรือ ตกช้าออกไป ทำให้ประจำเดือนรอบนั้น อาจเลื่อนออกไป หรือ กะปริดกะปรอยได้ และมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมในการฝังตัว อาจส่งผลให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้หลังทาน 3-7 วันครับ แต่เลือดที่อาจออกมานี้อาจมีหรือไม่มีก็ได้นะครับ และ การที่มีหรือไม่ก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพว่าจะป้องกันได้หรือไม่ หรือ เป็นอาการแสดงการตั้งครรภ์แต่อย่างใดครับ อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยนะครับ ซึ่งการตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะนั้น ควรตรวจในช่วงที่ประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลที่ได้จะน่าเชื่อถือครับ การตรวจก่อนหน้านี้ ไม่สามารถบอกได้นะครับ หรือ หากสับสนว่าจะตรวจช่วงไหนดี ก็อาจตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด 2 สัปดาห์ และ ให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ต่อมา หากปกติด้วยครับ และ หากประจำเดือนไม่มาหรือขาดหายไปเกิน 2 สัปดาห์ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ

2. ส่วนลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ

3. ในเรื่องของตกขาวนั้น เบื้องต้นแล้ว ตกขาวที่อาจมีได้ช่วงนี้ ก็เป็นผลจากฮอร์โมนที่สูงขึ้นหลังจากไข่ ซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางรอบเดือนครับ และสามารถพบสารคัดหลั่งนี้มากขึ้นจนถึงช่วงใกล้ๆมีประจำเดือนได้ครับ แต่จะไม่มีอาการผิดปกติ เช่น คัน กลิ่นเหม็น หรือ เลือดปนครับ ซึ่งไม่ผิดปกตินะครับ ดังนั้น หมอแนะนำให้สังเกตุอาการไปก่อน แต่หากหากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ

4. ส่วนในเรื่องอาการปวดประจำเดือนนั้น โดยปกติแล้วอาการปวดนี้จะมีได้อยู่แล้วในผู้หญิงทุกคนในทุกๆรอบเดือนครับ แต่อาการนี้จะไม่ปวดมาจนทำให้ทำงานหรือดำเนิดชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ย่ิงหากเดิมไม่เคยปวดเช่นนี้มาก่อน และ หากมีอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ประจำเดือนมามากทั้งปริมาณและจำนวนวันหากเทียบจากเดิมที่เคยเป็น หรือ มีอาการกะปริดประปรอย อ่อนเพลีย หรือ ใช้ยาแก้ปวดมาก หรือ ปวดตลอดไม่สัมพันธ์กับรอบประจำเดือน ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุก่อนครับ

5. หมอขอแนะนำการคุมกำเนิดสักนิดนะครับ การคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ คือ การป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้นครับ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้น มีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยซ้อนกันมากกว่า 1 ชั้นชึ้นไปนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้ป้องกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ถุงยางมีโอกาสที่จะขาดและปริแตกง่ายขึ้นด้วยจากการเสียดสีกันเองของถุงยางอนามัยครับ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครับ ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ