1 สาเหตุของเลือดออกกะปริดกะปรอยนั้น เกิดจากปริมาณฮอร์โทนเอสโตรเจนใน Minidoz นั้น มีเพียง 15 ไมโครกรัม แต่ใน Meliane นั้น มี 20 ไมโครกรัม ครับ ปกติยาคุมทั่วไปจะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณ 30 ไมโครกรัม แต่บางชนิดก็ลดปริมาณลงเพราะจะทำให้อาการคลื่นไส้ น้อยลง ผลข้างเคียงอื่นๆน้อยลง แต่ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ในหญิงบางคนได้ครับ ส่วนปริมาณจะน้อยลงนั้นทางการแพทย์ถือว่าไม่ผิดปกติครับ อาจถือเป็นเรื่องดีอีกด้วย ในผู้ป่วยบางคนเราให้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาและลดอาการประจำเดือนปริมาณมาก และ ปวดประจำเดือนอีกด้วยครับ

2 ในเรื่องของไมเกรน นี้ค่อนข้างซีเรียสครับ คือ หากคุณมีไมเกรนที่มีออร่า คือ มีแสงวูบวาบนำมาก่อน แล้ว หรือ ทานยาคุมกำเนิดแล้วมีไมเกรน ถือเป็นข้อห้ามการทานยาคุมกำเนิด หรือ การคุมกำเนิดทีมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเลยครับ เนื่องจากจะเพื่มความเสี่ยงของภาวะสมองขาดเลือด (Ischemic stroke) ได้มากขึ้นครับ ซึี่งอาจทำให้เป็นอัมพาตได้ โดยเฉพาะในหญิงที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น หมอคิดว่า หากคุณต้องการคุมกำเนิดประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป

• หมอไม่แนะนำให้ทานยาคุมกำเนิดครับ
• แนะนำให้ใช้วิธีที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ เช่น
• การฉีดยาคุม แต่อาจทำให้มีฝ่าและน้ำหนักขึ้นได้
• ห่วงอนามัย
• ยาฝังคุมกำเนิด เป็นต้นครับ

ในเรื่องของผิวพรรณนั้น ปกติแล้วฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีผลด้านนี้ครับ หมออาจจำเป็นต้องบอกว่า คุณไม่ควรใช้ฮอร์โมนตัวนี้เป็นส่วนประกอบ ดังนั้น อาจต้องใช้วิธีอื่นๆในการดูแลเรื่องผิว สิว ฝ้าแทนครับ

เรียน คุณ Daylight,

จากข้อมูลที่คุณให้มา ปัญหาอยู่ที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน นะครับ หากมีมากเกินไป จะทำให้เพิ่มโอกาสปวดไมเกรนได้ แต่หากน้อยเกินไปจะทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างเดือนได้ ซึ่งยาคุม Meliane 21 มีเอสโตรเจน 20 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นขนาดทั่ว ๆไปที่แนะนำให้เริ่มต้นใช้ Minidoz มีเอสโตรเจน 15 ไมโครกรัม

ดังนั้น ทั้ง 2 ตัวก็จะทำให้คุณมีปัญหาทั้ง 2 ประการ คงต้องตัดสินใจว่าจะเลือกแบบใด คือ

1. รับประทาน Meliane 21 เหมือนก่อน แต่ต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนกำเริบ ในช่วงใกล้มีประจำเดือน เช่น นอนดึก ดื่มชากาแฟมากเกิน (อ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บของเรานะครับ) หากเป็นไม่มาก พอทนได้ ประมาณ 2-3 เดือน ร่างกายจะปรับตัวได้เอง
   
   
2. รับประทาน Minidoz ซึ่งไม่ส่งผลปวดไมเกรนตอนใกล้มีประจำเดือน แต่ต้องทนกับการเลือดออกกะปริบกะปรอย ไปประมาณ 2-3 เดือน สาเหตุเนื่องมาจากร่างกายของคุณมีการตอบสนองฮอร์โมนจากเม็ดยาและทำให้ระดับฮอร์โมนส่วนตัวในร่างกายเปลี่ยนไป มักเกิดกับผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแผงแรกๆ อาจเกิดจากการรับประทานยาไม่ถูกวิธี เช่น ไม่ตรงเวลา หรือลืมรับประทานยา หรืออาจได้รับยาอื่นร่วมด้วย เช่น ยาต้านเชื้อ ยาแก้ชัก ยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ

สามารถแก้ไขได้โดยคุณควรทานยาเวลาใกล้เคียงกันในทุกๆวัน เช่น รับประทานยา เวลา 21.00 น.ให้เหมือนๆกันจะทำให้ปริมาณฮอร์โมนในเลือดมีอย่างสม่ำเสมอและไม่ลืมทานยา

หากว่ามีเลือดออกกะปริบกะปรอยมากเกินกว่า 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อแก้ไขที่สาเหตุอาการต่าง ๆ
หรืออาจพิจารณาเปลี่ยนยา และถ้าหากคุณใช้ยาคุมชนิดที่มีปริมาณเอสโตรเจนต่ำๆอยู่ (เช่น 15 ไมโครกรัม) ควรเปลี่ยนไปใช้ยาคุมแบบที่มีเอสโตรเจนมากขึ้น (แบบ 20 ไมโครกรัม)

ส่วนปัญหาอื่นที่คุณกังวลใจ ยาคุมกำเนิดรุ่นใหม่ ๆมีการปรับปรุงข้อเสีย เรื่องน้ำหนักตัวเพิ่ม สิว หรือฝ้า ลดลงไปมากแล้วนะครับ

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องคุมอาหาร งดอาหารเค็ม เพราะจะทำให้บวมน้ำ ทาครีมกันแดด เพราะแดดแรง กระตุ้นให้เป็นฝ้าได้ง่ายอยู่แล้ว

เป็นกำลังใจให้นะครับ
เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะ