ไข้ซิกา (Zika fever) โรคติดเชื้อซิกาไวรัส (Zika virus infection)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

โรคไข้ซิกา (Zika fever) คือ โรคเกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัสชื่อ 'ซิกาไวรัส (Zika virus ย่อว่า ZIKV)' ซึ่งเป็นเชื้อฯในสกุล (Genus) Flavivirus โดยมียุงลาย (Aedes mosquitoes) เป็นตัวนำโรค/พาหะโรค ซึ่งยุงลายนี้เป็นชนิดเดียวกับที่นำโรคไข้เลือดออก/โรคเด็งกี่ และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย (โรคชิคุนกุนยา)

อนึ่ง: ซื่ออื่นของไข้ซิกา เช่น โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus infection), โรคไวรัสซิกา (Zika virus disease), โรคซิกา (Zika disease)

ไวรัสซิกา มียุงลายที่เป็นยุงหากิน/กัด/ดูดเลือดในช่วงกลางวันเป็นพาหะโรค, มีลิงในป่าอัฟริกาและคนเป็นรังโรค ไวรัสนี้รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ.2490) โดยพบเชื้อนี้ในลิงจากป่าในประเทศยูกันดา ทวีปอัฟริกา ซึ่งชื่อ “Zika” เป็นภาษาถิ่นยูกันดาแปลว่า “ป่า” และมีรายงานการติดเชื้อครั้งแรกในคน/ชาวไนจีเรียเมื่อค.ศ.1968 (พ.ศ. 2511)

ยุงลายกัดคนหรือกัดสัตว์รังโรคอื่น(เชื่อว่าเป็นลิงและหนูในทวีปอัฟริกา)ที่มีเชื้อไวรัสซิกา จากนั้นยุงลายจะติดเชื้อ และเมื่อยุงลายที่ติดเชื้อฯกัดคน คนก็จะติดเชื้อไวรัสนี้ เป็นการครบวงจรการติดเชื้อ วนซ้ำเกิดไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นวิธีติดเชื้อเช่นเดียวกับในโรคไข้เลือดออก และในโรคไข้ปวดข้อยุงลาย(โรคชิคุนกุนยา)

ทั้งนี้ ยุงลายมีแหล่งเพาะพันธ์ยุง/ลูกน้ำเช่นเดียวกับในไข้เลือดออกและโรค ชิคุนกุนยาเพราะเป็นยุงสายพันธ์เดียวกัน คือ แหล่งน้ำขังที่เป็นน้ำสะอาดในบ้าน, ในสถานที่รอบบ้าน, ในชุมชน, ในป่าฯลฯ (เช่น ในกระถาง, ในขวดน้ำ, ในอ่างน้ำ, ในภาชนะแตก, บนใบไม้ ฯลฯ)

ธรรมชาติของไวรัสซิกายังมีการศึกษาไม่มาก เนื่องจากการวินิจฉัยโรคฯเป็นไปค่อนข้างยากจากเป็นโรคไม่รุนแรง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีอาการ ถึงมีอาการก็ไม่รุนแรง มักหายได้เอง ผู้ป่วยจึงมักไม่มาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล ดังนั้นปัจจุบันจึงยังไม่ค่อยมีรายละเอียดข้อมูลของไวรัสชนิดนี้

ไวรัสซิกา พบได้ทั่วโลกที่พบยุงลาย โดยไวรัสซิกาเป็นไวรัส/เชื้อประจำถิ่นของทวีป อัฟริกา, ทวีปอเมริกาในส่วนอเมริกากลางและอเมริกาใต้, ทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย, หมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก, และประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว, รวมถึงประเทศไทย

ไวรัสซิกา เคยก่อการระบาดมาแล้วในประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก และในปี ค.ศ 2016 (พ.ศ. 2559) ก็มีการระบาดในประเทศแถบลาตินอเมริกาจนองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การติดเชื้อไวรัสซิกานี้เป็นภัยฉุกเฉินด้านสาธารณสุขต่อทุกประเทศทั่วโลก (Global health emergen cy) ทั้งนี้เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้แต่เนิ่นๆ

ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขรายงานเบื้องต้นในการพบเชื้อนี้ในไทยปีพ.ศ. 2506 จากการพบสารภูมิต้านทานโรคนี้ในเลือดผู้ป่วยในกรุงเทพฯ 1 ราย แต่ที่มีการยืนยันทางการแพทย์แน่ชัดว่าเป็นการติดเชื้อในไทยคือในปี พ.ศ. 2555 โดยตั้งแต่พ.ศ. 2555 - 2558 พบผู้ป่วยที่พิสูจน์ทางการแพทย์ว่าติดเชื้อนี้ปีละประมาณ 2 - 5 ราย อย่างไรก็ตามยังไม่เคยมีรายงานการตายจากโรคนี้ในไทย

ไวรัสซิกา ก่อโรคได้ในคนทุกอายุตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงผู้สูงอายุ พบในเพศหญิงและเพศชายใกล้เคียงกัน ดังกล่าวแล้วโรคติดเชื้อไวรัสซิกาวินิจฉัยได้ยาก มักไม่มีอาการ และถึงแม้มีอาการ อาการจะไม่รุนแรง ดังนั้นปัจจุบันจึงยังไม่ทราบสถิติเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน

ไข้ซิกา/โรคติดเชื้อซิกาไวรัส, โรคไข้เลือดออก, และโรคปวดข้อยุงลาย (โรคชิคุนกุนยา), เป็นโรคที่เกิดจากยุงลายชนิดเดียวกัน ต่างกันแต่สายพันธุ์ย่อยของไวรัส, ดังนั้นธรรมชาติของยุงลาย, วิธีติดต่อของโรค, รวมถึงวิธีป้องกันโรค, เหมือนกันทุกประการ นอกจากนั้นอาการของโรคก็คล้ายกันมาก ต่างกันแต่โรคติดเชื้อไวรัสซิกาจะมีอาการน้อยกว่ามากและมีการพยากรณ์โรคที่ดีกว่าอีก 2 โรคดังกล่าว

อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา?คนติดโรคได้อย่างไร?

ไข้ซิกา-01

ดังกล่าวแล้วใน 'บทนำฯ' สาเหตุของโรคไข้ซิกา/โรคติดเชื้อไวรัสซิกา คือ การติดเชื้อไวรัสซิกา (ZIKV) จากถูกยุงลายกัด ทั้งนี้โรคนี้ 'ไม่' ติดต่อจากคนสู่คนโดยตรงจากการสัมผัสคลุกคลี แต่จะเกิดจากคนถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสนี้กัด

การติดเชื้อวิธีอื่นนอกจากถูกยุงฯกัด:

มีรายงานพบเชื้อไวรัสซิกาได้ใน น้ำอสุจิ และในเลือดและผลิตภัณฑ์จากเลือด ดังนั้น นอกจากการติดโรคจากยุงกัด คนจึงอาจติดเชื้อโรคนี้ได้จาก

  • ทางเพศสัมพันธ์
  • การคลอดบุตร
  • น้ำนมมารดา
  • การได้รับเลือด หรือ ส่วนประกอบของเลือด

ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคติดเชื้อไวรัสซิกา:

ทั่วไป ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไข้ซิกา/โรคติดเชื้อไวรัสซิกา เช่น

  • ผู้ที่อาศัยในถิ่นที่มีไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อประจำถิ่น
  • ผู้ที่อาศัยในเขตที่มียุงลายชุกชุม
  • นักท่องเที่ยวหรือการเดินทางไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยของเชื้อนี้/ของยุงลาย
  • ไม่รู้จักป้องกันตนเองจากการถูกยุงลายกัด

โรคติดเชื้อไวรัสซิกามีอาการอย่างไร?

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสซิกาจากถูกยุงลายที่มีเชื้อนี้กัด จะมีเพียงประมาณ 1/4 ถึง 1/5 เท่านั้นที่มีอาการ ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ

ผู้ที่มีอาการ มักแสดงอาการภายหลังถูกยุงลายฯกัด(ระยะฟักตัวของโรค)ประมาณ 2-12 วัน(ทั่วไป 2-7 วัน) โดยอาการจะคล้ายอาการ โรคไข้เลือดออก,โรคปวดข้อยุงลาย/โรค ชิคุนกุนยา แต่อาการรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งอาการต่างๆของไข้ซิกา เช่น

  • มีไข้เฉียบพลัน มักเป็นไข้ประมาณ 38-38.5 องศาเซลเซียส (Celsius) ซึ่งไข้เลือดออกและโรคปวดข้อยุงลายมักมีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
  • ปวดหัวแต่ไม่มาก
  • ปวดข้อ ซึ่งโรคปวดข้อยุงลายจะปวดข้อมากจนมีผลต่อการเคลื่อนไหว
  • อ่อนเพลียไม่มาก ซึ่งไข้เลือดออกจะอ่อนเพลียมาก
  • มีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนังได้ทั่วร่างกาย
  • เยื่อตาอักเสบ (อาการสำคัญคือ ตาแดง) ซึ่งเป็นอาการที่แตกต่างจากไข้เลือดออกและโรคปวดข้อยุงลายที่มักจะไม่มีอาการนี้

ทั้งนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการอยู่ประมาณ 3-7 วัน อาการก็จะค่อยๆดีขึ้น โดยมักหายได้ภายใน 7 วันนับจากการดูแลตนเองตามอาการ

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการต่างๆดังกล่าวใน 'หัวข้อ อาการฯ' รุนแรง เช่น

  • ไข้สูงและไข้ไม่ลงใน 2 - 3 วัน
  • ปวดหัวมาก
  • อ่อนเพลียมาก
  • มีจุดเลือดออกตาม ลำตัว แขนขา
  • เมื่อสงสัยเป็นไข้เลือดออกหรือเป็นไข้ปวดข้อยุงลาย(แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ไข้เลือดออก และเรื่อง ไข้ปวดข้อยุงลาย)

แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้อย่างไร?

โรคติดเชื้อไวรัสซิกา เป็นโรควินิจฉัยได้ยากเพราะอาการเหมือนโรคติดเชื้อทั่วไปโดยเฉพาะ ไข้เลือดออกหรือโรคปวดข้อยุงลายชนิดที่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยจึงมักถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเหล่านั้นโดยไม่มีการตรวจหาว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกาหรือไม่ นอกจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง ซึ่งเมื่อดูแลตนเองในเบื้องต้นที่บ้านอาการก็จะหายได้ปกติ จึงไม่มีการตรวจยืนยันทางการแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

อย่างไรก็ตาม แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้จาก

  • ซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ซึ่งที่สำคัญคือ ประวัติอาการ, ประวัติการเดินทาง, ถิ่นที่อยู่อาศัย, ประวัติมีคนเจ็บป่วยด้วยไวรัสซิกาในบ้าน/ในถิ่น/ในชุมชนนั้น
  • การตรวจร่างกาย
  • ตรวจเลือด ซีบีซี/CBC
  • ตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทานที่เรียกว่า Immunoglobulin ย่อว่า Ig ชนิด IgM และชนิด IgG ซึ่งจะได้ผลบวกในช่วง 3 - 4 วัน (บางคนอาจถึง 7 วัน)นับจากมีอาการ โดยหลังจากช่วงนี้ มักไม่สามารถตรวจพบได้
  • ตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสนี้ด้วยวิธีที่เรียกว่า 'RT- PCR (Reverse transcriptase polymerase cell reaction)' ซึ่งมีโอกาสพบได้สูงในช่วง 1-3 วันนับจากมีอาการ หรือ
  • ตรวจเชื้อนี้ในน้ำลายและ/หรือในปัสสาวะภายในช่วง 3-5 วันนับจากมีอาการ

โรคติดเชื้อไวรัสซิกามีผลข้างเคียงและมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

ผลข้างเคียง และ การพยากรณ์โรคของโรคไข้ซิกา/โรคติดเชื้อไวรัสซิกา: ได้แก่

ก. ผลข้างเคียง: เช่น โดยทั่วไป ไวรัสซิกาไม่ก่อผลข้างเคียง เพราะดังกล่าวแล้วว่าเป็นโรคไม่รุนแรง ผู้ป่วยเกือบทุกคนหายได้เองจากการดูแลตนเองในเบื้องต้นโดยไม่ต้องพบแพทย์ และยังเชื่อว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ อาจมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้ได้ในระยะยาว กล่าวคือ อาจไม่ติดเชื้อโรคนี้อีก

*****อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ผ่านรกได้ ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสนี้ อาจก่อให้เกิดการเจริญเติบโตที่ผิดปกติกับสมองของทารกในครรภ์ ส่งผลให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ เช่น

  • โรคศีรษะเล็ก กล่าวคือกะโหลกศีรษะและสมองเจริญเติบโตไม่เต็มที่ สมองมีพัฒนาการล่าช้า (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ศีรษะเล็ก)
  • ภาวะมีหินปูน(Calcification)จับในเนื้อสมอง และ/หรือที่ เยื่อตา
  • มีลูกตาเจริญเติบโตเล็กผิดปกติ (Microophthalmia) ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นภาพ
  • ทารกมักมี
    • การเจริญเติบโตช้า ด้อยกว่าเกณฑ์
    • สติปัญญาด้อยกว่าเกณฑ์
    • มีปัญหาในการกินอาหาร
    • มีอาการชัก
    • มีปัญหาการได้ยิน

ดังนั้นหลายประเทศ จึงห้ามสตรีตั้งครรภ์ หรือ สตรีที่วางแผนจะตั้งครรภ์ เดินทางไปยังประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น และในบางประเทศยังแนะนำให้สตรีที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ในระยะเวลาประมาณ 1 ปีหลังกลับจากประเทศดังกล่าว ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์

นอกจากนั้น:

***พบว่าผู้ป่วยโรคไข้ซิกาเป็นปัจจัยเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลันที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์เส้นประสาทส่วนปลายที่เรียกว่า ‘กลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร หรือ โรคจีบีเอส’ (แนะนำอ่านรายละเอียดในเว็บ haamor.com เรื่อง’โรคจีบีเอส’) แต่ยังไม่มีรายงานสถิติเกิดที่ชัดเจน

ข. การพยากรณ์โรค:

ทั่วไป โรคติดเชื้อไวรัสซิกา:

  • มีการพยากรณ์โรคที่ดี ไม่รุนแรง มักรักษาได้หายด้วยการรักษาตามอาการ และมีรายงานที่ต่ำในอัตราตายด้วยสาเหตุจากโรคนี้
  • การศึกษาในระยะแรกในปี ค.ศ.2016 ที่โรคนี้ระบาดพบว่า ผู้ติดโรคนี้อาจมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้ได้ในระยะยาว อาจตลอดชีวิต แต่การศึกษาที่รายงานในปี2020พบว่าภูมิคุ้มกันฯโรคนี้อยู่ได้นานอย่างน้อย 22-28 เดือน
  • ยกเว้นการติดโรคของทารกในครรภ์:
    • พบเป็นสาเหตุให้ทารกถึงตายได้ตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุประมาณ3ปีที่พบสูงกว่าเด็กที่มารดาไม่ติดโรคนี้
    • มารดมีโอกาสเกิดการแท้งบุตรสูง
    • มารดามีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูง
  • และการศึกษาในระยะแรกในปี ค.ศ.2016 ที่โรคนี้ระบาดพบว่า ผู้ติดโรคนี้อาจมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้ได้ในระยะยาว อาจตลอดชีวิต แต่การศึกษาที่รายงานในปี2020พบว่าภูมิคุ้มกันฯโรคนี้อยู่ได้นานอย่างน้อย 22-28 เดือน

มีแนวทางรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะหรือวัคซีนในการรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา(อยู่ในขั้นตอนการศึกษา) ดังนั้นการรักษาคือการรักษาตามอาการ เช่น

  • ยาลดไข้ Paracetamol ซึ่ง ไม่ควรใช้ยาลดไข้ Aspirin และยาในกลุ่มเอ็นเสด เช่น ยา Ibuprofen เพราะอาจก่อผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรงอาจถึงตาย ที่เรียกผลข้างเคียงนี้ว่า การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย (Reye syndrome)
  • ยาแก้ปวด Paracetamol
  • พักผ่อนให้เต็มที่
  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 2 - 3 วันหากหลังดูแลตนเองแล้วยังมีอาการไข้สูง และ/หรืออาการต่างๆดังกล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ รุนแรงขึ้น เพราะอาจเป็นโรคที่จำเป็นต้องพบแพทย์ เช่น ไข้เลือดออก โรคปวดข้อยุงลาย หรือ ไข้หวัดใหญ่

ดูแลตนเองและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกาที่สำคัญคือ

  • ปฏิบัติ ตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาต่างๆตามแพทย์แนะนำ ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกา คือ

  • ใช้ยาลดไข้ Paracetamol ทั้งนี้ไม่ควรใช้ยาลดไข้ Aspirin และยาในกลุ่มเอ็นเสดเช่น ยา Ibuprofen เพราะอาจก่อผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรงอาจถึงตายได้ ที่เรียกผลข้างเคียงนี้ว่า ‘การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย’ (Reye syndrome, แนะนำอ่านเพิ่มเติมจากเว็บhaamor.com เรื่อง กลุ่มอาการราย)
  • ยาแก้ปวด Paracetamol
  • พักผ่อนให้เต็มที่
  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อป้อง กันภาวะขาดน้ำ
  • ในเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันทารกในครรภ์ติดโรคนี้ โดยทั่วๆไปในภาพรวม เช่น
    • คุมกำเนิดช่วงติดโรคนี้ไปจนถึงประมาณ 1 ปีหลังติดโรคนี้ โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์เสมอ
    • คุมกำเนิดอย่างน้อย 2-3 เดือนหลังการท่องเที่ยว/เดินทางไปยังถิ่นของไวรัส ซิกาแล้วเป็นปกติทุกอย่าง, แต่คุมกำเนิดอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน หลังกลับจากท่องเที่ยว/เดินทางไปยังถิ่นโรคนี้แล้วมีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสซิกา
    • คุมกำเนิดเสมอช่วงโรคนี้ระบาด
    • ปรึกษาแพทย์เมื่อวางแผนตั้งครรภ์เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อนี้
    • ใช้ถุงยางอนามัยชาย (เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพในโรคนี้)เสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์เพราะโรคนี้ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์
  • ถ้าตั้งครรภ์เมื่อติดเชื้อโรคนี้: ต้องรีบแจ้งให้สูตินรีแพทย์ทราบเพื่อการตรวจติดตามการเกิดโรคของทารกในครรภ์เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ

ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ

  • อาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงหลังกินยาหรือหลังปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ เช่น ไข้สูง ปวดหัวมาก มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ
  • มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมี เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด/อุจจาระดำเหมือนยางมะตอย แขนขาอ่อนแรง ซึม หรือชัก
  • กังวลในอาการ

ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้อย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา แต่มีการป้องกันคือ การป้องกันการถูกยุงลายกัดโดย

  • กำจัดแหล่งน้ำขังในบ้าน, รอบบ้าน, ชุมชน เช่นเดียวกับในเรื่องการป้องกันไข้เลือดออก
  • ป้องกันตนเองจากถูกยุงลายกัดโดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในถิ่นที่อยู่ของยุงลาย คือ ใช้ยากันยุงหรือยาทากันยุง, นอนกางมุ้ง, สวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาว
  • เมื่อตั้งครรภ์ ไม่เดินทางไปยังแหล่งที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น
  • เมื่อกลับจากประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นภายในประมาณ 1 ปี เมื่อประสงค์จะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Zika_fever [2022,July16]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Zika_virus [2022,July16]
  3. https://emedicine.medscape.com/article/2500035-overview#showall [2022,July16]
  4. https://www.cdc.gov/zika/hc-providers/clinical-guidance/sexualtransmission.html [2022,July16]
  5. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31801867/ [2022,July16]
  6. https://www.cdc.gov/zika/prevention/sexual-transmission-prevention.html#NotPregnant [2022,July16]
  7. https://www.cdc.gov/zika/ [2022,July16]
  8. https://www.paho.org/en/topics/zika [2022,July16]
  9. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/zika-virus [2022,July16]
  10. https://www.dms.go.th/backend//Content/Content_File/Old_Content/dmsweb/cpgcorner/CPGZika.pdf [2022,July16]
  11. https://www.google.com/search?q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%3A+ditmi%3B%27lkTkiIl6-&rlz=1C1CHBF_thTH748TH806&oq=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%3A+ditmi%3B%27lkTkiIl6-&aqs=chrome..69i57.23396j0j4&sourceid=chrome&ie=UTF-8 [2022,July16]