โรคหลอดเลือดสมองเอวีเอ็ม โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (Cerebral AVM: Cerebral arteriovenous malformation)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ความผิดปกติหรือโรคสมอง มีสาเหตุหลากหลาย แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลัก คือ

  • เป็นโรคแต่กำเนิด
  • เป็นโรคที่เกิดขึ้นภายหลังเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว

โรคสมองแต่กำเนิดโรคหนึ่งที่ควรทราบ เพราะมีอันตรายค่อนข้างสูง ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ ที่เรียกว่า Cerebral arteriovenous malformation หรือ Cerebral AVM หรือเรียกสั้นๆว่า “โรคเอวีเอ็ม (AVM)” โรคนี้มีอาการผิดปกติอย่างไร อันตรายแค่ไหน ใครมีโอ กาสเป็นได้บ้าง ลองติดตามบทความนี้ครับ

อนึ่ง บทความนี้ขอเรียกโรคนี้สั้นๆว่า “โรคเอวีเอ็ม”

โรคเอวีเอ็มคืออะไร?

โรคหลอดเลือดสมองเอวีเอ็ม

โรคเอวีเอ็มคือ โรคที่มีความผิดปกติของกลุ่มหลอดเลือดในสมองตั้งแต่กำเนิด โดยเกิดความผิดปกติตรงรอยต่อระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ โดยความผิดปกติของหลอดเลือด/รอยโรค อาจพบบริเวณผิวสมอง/เนื้อสมองส่วนนอก (Cerebral cortex) หรืออยู่ลึกลงไปในเนื้อสมอง ซึ่งอาจเกิดรอยโรคเพียงตำแหน่งเดียว หรือเกิดได้พร้อมๆกันหลายตำ แหน่ง และแต่ละรอยโรค มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน

โรคนี้พบน้อย คือประมาณ 15-18 รายต่อประชากร 100,000 คน แต่แสดงอาการให้ปรา กฏเพียงประมาณ 2-10% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด โรคนี้พบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิง และถึงแม้จะเป็นโรคแต่กำเนิด แต่มักแสดงอาการเมื่อโตขึ้นแล้วในช่วงอายุ 15-20 ปีขึ้นไป

โรคเอวีเอ็มเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ไม่มีใครทราบที่แน่ชัดว่า โรคเอวีเอ็มเกิดขึ้นได้อย่างไร ทราบแต่ว่าโรคนี้เป็นมาแต่กำ เนิด และค่อยๆมีขนาดรอยโรคที่โตขึ้นเรื่อยๆ

ใครมีโอกาส/ปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคเอวีเอ็ม?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคเอวีเอ็ม คือ

  • ผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้หญิง
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ มีโอกาสเป็นโรคนี้บ่อยกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัว
  • แต่แพทย์ก็ยังไม่พบยีน/จีน (พันธุกรรม) ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคนี้อย่างชัดเจน

โรคเอวีเอ็มมีอาการอย่างไร?

อาการของโรคเอวีเอ็ม ประกอบด้วย 3 กลุ่มอาการหลัก คือ

  • กลุ่มอาการจากหลอดเลือดที่ผิดปกตินี้แตกในเนื้อสมอง: ซึ่งอาการได้แก่
    • ปวดศีรษะ /ปวดหัว อาเจียน ทันที
    • หมดสติ
    • แขนขาอ่อนแรง
    • พูดไม่ได้
    • หรืออาจเสียชีวิตได้ทันที ถ้าก้อนเลือดจากเลือดออกมีขนาดใหญ่มาก หรือเมื่อเกิดการแตกเข้าไปในโพรงน้ำในสมอง ที่ก่อให้เกิดการอุดตันของการไหลของน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (CSF, Cerebrospinal fluid)
  • กลุ่มอาการชัก: เนื่องจากกลุ่มหลอดเลือดสมองที่ผิดปกตินี้ เกิดอยู่ในตำแหน่งของผิว/เนื้อสมองส่วนนอก ส่งผลให้มีอาการชักเกิดขึ้น เนื่องมาจากมีการระคายเคืองต่อผิวสมอง ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติในสมอง
  • กลุ่มอาการเลือดออกใต้เนื้อเยื่อชั้นอะราชนอยด์ของเยื่อหุ้มสมอง/เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Subarachnoid hemorrhage: SAH): เนื่องจากมีการแตกของกลุ่มหลอดเลือดสมองที่ผิดปกตินี้ และแตกออกในบริเวณผิวสมองใต้ต่อชั้นเยื่อหุ้มสมองดังกล่าว ซึ่งเป็นอาการเหมือนกับอาการของกลุ่มโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพาต เช่น
    • ตาบอด (ตาบอดเหตุจากสมอง)เฉียบพลัน
    • พูดลำบาก สื่อสารไม่ได้
    • วิงเวียนศีรษะรุนแรง
    • อาการชาแขนขา

อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ?

ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการในโรคเอวีเอ็ม ได้แก่

  • ความดันโลหิตที่สูงมากขึ้น อาจทำให้มีการแตกของหลอดเลือดได้
  • การไหลเวียนของเลือดในร่างกายที่ลดลง อาจก่อให้เกิดปัญหาเลือดเลี้ยงสมองที่ลดลง ส่งผลให้เกิดสมองขาดเลือด และเกิดอาการชักได้
  • และ/หรือ การออกแรงเบ่งอย่างแรงเป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดเลือดแตกได้

ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

โรคเอวีเอ็มนี้ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการใดๆเลย จนกว่ากลุ่มหลอดเลือดที่ผิดปกติจะมีขนาดใหญ่จนแตก หรือก่อการระคายเคืองต่อผิวสมอง ทำให้มีอาการชัก ดังนั้นเมื่อมีอาการผิด ปกติทางระบบประสาทใดๆดังได้กล่าวในหัวข้อ อาการ ที่เป็นขึ้นมาทันที ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที

*****หมายเหตุ โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน เบอร์เดียวทั่วประเทศไทย คือ “โทรฯ 1669” สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข (สพฉ.) ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

แพทย์จะให้การวินิจฉัยโรคเอวีเอ็มได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคเอวีเอ็มได้จาก

  • ข้อมูลจากอาการ และการสอบถามประวัติทางการแพทย์โดยเฉพาะความผิดปกติทางระบบประสาท
  • การตรวจร่างกายทั่วไป
  • การตรวจร่างกายทางระบบประสาท ร่วมกับ
  • การตรวจเพื่อการสืบค้นทางรังสีวิทยาของสมอง เช่น
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ ซีทีสแกน และ/หรือเอมอาร์ไอสมอง เพื่อดูว่ามีรอยโรคในสมองหรือไม่ ซึ่งการตรวจหลอดเลือดสมอง เมื่อพบความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง จึงให้การวินิจฉัยและวางแผนในการรักษาโรคนี้ต่อไป

*ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ เป็นการตรวจวินิจฉัยภายหลังผู้ป่วยมีอาการแล้ว ทั้งนี้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคนี้ได้ โดยการตรวจสมองทางรังสีวิทยา แต่แพทย์จะไม่แนะ นำให้ทุกคนตรวจคัดกรอง (การตรวจในคนที่ไม่มีอาการ)โรคนี้ เพราะเกิดความสิ้นเปลืองอย่างยิ่งไม่คุ้มค่า (แม้ในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ก็ตาม) เพราะมีโอกาสพบโรคนี้น้อยมากมาก เพราะดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ โรคนี้คืออะไร ว่า โรคนี้พบได้น้อยมาก ประมาณ 15-18 ราย ต่อประชากร 100,000 คน และเพียง 2-10% เท่านั้นที่จะเกิดอาการ

โรคเอวีเอ็มรักษาอย่างไร?

การรักษาโรคเอวีเอ็มประกอบด้วย 3 วิธี คือ

  • การผ่าตัด: เหมาะรักษาในกลุ่มผู้ป่วยที่รอยโรคมีขนาดเล็ก อยู่ตื้น ไม่ลึก
  • การใช้รังสีรักษา: โดยการฉายรังสีด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนที่บริเวณรอยโรค รังสีรักษาจะส่งผลให้หลอดเลือดที่ผิดปกติค่อยๆฝ่อลงไป เหมาะกับรอยโรคที่มีขนาดไม่ใหญ่เกิน 3 เซนติเมตร
  • การอุดหลอดเลือดที่ผิดปกติ (Embolization)โดยการรักษาทางรังสีร่วมรักษา: โดยการใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่ผิดปกติ และฉีดสารที่เรียกว่า Glue (สารที่ทำให้หลอดเลือดอุดตัน) หรือ กาว (Glue embolization) ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีรอยโรคได้หลายขนาด

*อนึ่ง ในผู้ป่วยบางรายที่มีรอยโรคขนาดใหญ่ ก็อาจต้องใช้หลายๆวิธี ดังกล่าวร่วมกันในการรักษา

ทั้งนี้ กรณีผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ การรักษาโรคเอวีเอ็ม อาจใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ หรือบางรายอาจนานหลายเดือน ขึ้นกับขนาดของรอยโรค แต่ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน หรือการรักษาได้ผลไม่ดี ก็ต้องรักษายาวนาน เพราะผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หลอดเลือดผิดปกติเหล่านั้นหายได้ ก็อาจจะมีการแตกของหลอดเลือดสมองที่ผิดปกติในตำแหน่งอื่น และ/หรือรอยโรคเดิมเกิดการแตกซ้ำ ทำให้เกิดอาการอัมพาต หรือความผิดปกติอื่นๆได้อีก เช่น ชัก ดัง นั้นผู้ป่วยจึงต้องได้รับการรักษาทั้งยากันชัก และรักษาอาการอัมพาตด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งอาจต้องผ่าตัดสมองซ้ำ

โรคเอวีเอ็มมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคเอวีเอ็มมีการพยากรณ์โรค/ผลการรักษาที่ดีมาก แต่ทั้งนี้ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของรอยโรคที่ใหญ่ หรือโรคเกิดในตำแหน่งสมองที่มีโอกาสเกิดอัน ตรายสูง เช่น ที่ก้านสมอง หรือมีอาการเลือดออกที่รุนแรง

โรคเอวีเอ็ม เมื่อรักษาหายแล้ว โอกาสเกิดเป็นซ้ำ หรือเกิดอาการซ้ำมีได้น้อย โดยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดมีอาการซ้ำ คือ กรณีที่การรักษานั้นไม่ประสบผลสำเร็จอย่างดี เช่น

  • การฉายรังสีแล้วหลอดเลือดฝ่อไม่หมด
  • การอุดหลอดเลือดด้วยกาวไม่ประสบความสำเร็จ
  • หรือรอยโรคมีขนาดใหญ่มาก

โรคเอวีเอ็มมีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ในโรคเอวีเอ็ม คือ การที่เนื้อสมองถูกทำลายจากที่หลอดเลือดแตก จึงเกิดอัมพาตขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิด แขนขาอ่อนแรง ชัก ติดเชื้อง่ายจากแผลกดทับ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากการสำลักอาหาร เครื่องดื่ม หรือจากใส่ท่อช่วยหายใจ และ/หรือการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?

การดูแลตนเองที่ดีเมื่อเป็นโรคเอวีเอ็ม คือ

  • ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัดแนะนำ
  • ต้องทานยาที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอ ไม่ขาดยา
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลต่อเนื่องตามนัดเสมอ เพราะต้องมีการตรวจภาพสมอง และ/หรือหลอดเลือดสมองเป็นระยะๆ ตามดุลพินิจของแพทย์ เพื่อติดตามความผิดปกติของหลอดเลือดว่า เกิดขึ้นใหม่หรือไม่
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
    • มีอาการต่างๆเลวลง
    • หรือมีอาการที่ผิดไปจากเดิม
    • หรือเมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันไม่ให้อาการเกิดเป็นซ้ำได้ไหม?

ในโรคเอวีเอ็ม หลังการรักษา การป้องกันอาการเกิดเป็นซ้ำ โดยเฉพาะการเกิดเลือด ออกซ้ำในสมอง คือ

  • ป้องกันไม่ให้มีความดันโลหิตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ไม่ออกแรงเบ่งอย่างแรง (เช่น การเบ่งอุจจาระจากท้องผูก หรือ การยกของหนัก) และต้องควบคุมอาการชักให้ได้
  • ระมัดระวัง ไม่ทานยาที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาแก้ปวด ลดไข้ในกลุ่มยาเอ็นเสด
  • ทานยากันชักต่อเนื่อง ตามแพทย์สั่ง ไม่ขาดยา
  • ไม่อดนอน ไม่เครียด ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ

ป้องกันโรคเอวีเอ็มได้อย่างไร?

โรคเอวีเอ็มนี้ ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเป็นโรคแต่กำเนิดที่แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ