โรคจากขึ้นที่สูง (Altitude sickness)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โรคจากขึ้นที่สูง (Altitude sickness หรือ Altitude illness หรือ Mountain sickness) คือ กลุ่มอาการที่เกิดเนื่องจากการขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ที่สูงมากกว่าพื้นที่ทั่วไปมาก เช่น การขึ้นภูเขาสูง หรือไปอยู่ในประเทศที่อยู่ในแถบพื้นที่สูงๆของโลก เช่น ทิเบต เป็นต้น อาการ คือ ปวดศีรษะ วิงเวียน เหนื่อยมาก หายใจลำบาก เบื่ออาหาร อาจ คลื่นไส้ อาเจียน โดยมักเกิดอาการได้ตั้งแต่สถานที่นั้นๆมีความสูงตั้งแต่ประมาณ 2,100-2,500เมตร (7,000 -8,000 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป

ทั้งนี้ ระดับพื้นที่ที่จัดว่าสูงที่จะก่อให้เกิดอาการของโรคจากขึ้นที่สูง โดยแบ่งตามความสูง (ซึ่งอาการที่เกิดจะรุนแรงขึ้นตามความสูงที่เพิ่มขึ้น) เป็น 3 ระดับ คือ

  • พื้นที่สูง (High altitude) คือความสูง 1,500-3,500 เมตร (5,000-11,500 ฟุต) จากระดับ น้ำทะเลปานกลาง
  • พื้นที่สูงมาก (Very high altitude) คือความสูง 3,500-5,500 เมตร (11,500-18,000ฟุต)
  • และพื้นที่สูงสุดขีด (Extreme altitude) คือสูงเหนือ 5,500 เมตร (18,000 ฟุต) ขึ้นไป

ในการท่องเที่ยวทั่วไป มักจะท่องเที่ยวอยู่ในระดับความสูงประมาณไม่เกิน 5,000 เมตร ซึ่งเมื่อเกิดโรคจากขึ้นที่สูง อาการมักอยู่ในระดับไม่รุนแรง เรียกว่า ‘Acute mountain sickness เรียกย่อว่า เอเอมเอส (AMS)’ ซึ่งพบเกิดอาการ AMS ได้ประมาณ 9-40% เมื่ออยู่ในที่สูงระดับไม่เกิน 3,500 เมตร และประมาณ 15-58% เมื่อความสูงอยู่ในช่วง 3,500-5,000 เมตร

โรคจากขึ้นที่สูง พบเกิดได้กับทุกเพศและทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย โดยอัตราเกิดในผู้หญิงและในผู้ชายใกล้เคียงกัน

โรคจากขึ้นที่สูงเกิดได้อย่างไร?

โรคจากขึ้นที่สูง

กลไกการเกิดโรคจากขึ้นที่สูง ยังไม่ทราบชัดเจน แต่การศึกษาสนับสนุนว่า เกิดจากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจาก ในที่สูง/การขึ้นเขาสูง ออกซิเจนในอากาศจะเจือจางลง และความดันอากาศจะลดต่ำลง ส่งผลให้ให้ความดันออกซิเจนในเลือดต่ำลงด้วย รวมทั้งอากาศที่หนาวเย็น จะส่งผลให้ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น เพื่อใช้ให้พลังงานเพื่อคงอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวยังมักมีภาวะขาดน้ำ จากการใช้พลังงาน/เสียเหงื่อในการขึ้นเขา และน้ำที่ระเหยจากการหายใจที่เมื่อขึ้นเขา ทุกคนจะหายใจเร็วขึ้น(ภาวะระบายลมหายใจเกิน/Hyperventilation) ทั้งหมดจึงส่งผลให้เกิด ภาวะร่างกายขาดออกซิเจน(Hypoxia หรือ ภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย), ภาวะเลือดเป็นด่างจากคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ำจากหายใจออกมากผิดปกติ/ภาวะระบายลมหายใจเกิน, และภาวะขาดน้ำ

ภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย และภาวะขาดน้ำ จะส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิต/เลือด ความดันโลหิตจะต่ำลง ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อคงความดันโลหิต และเพื่อให้อวัยวะสำคัญ คือ สมอง และปอดได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงหลั่งสารเคมีในกลุ่ม Catecholamines ซึ่งจะกระตุ้นการทำงานของหัวใจ หัวใจเต้นเร็ว แรงขึ้น เพิ่มความดันโลหิต และเพิ่มการทำงานของผนังหลอดเลือด

ภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย ยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของปอดและของสมอง เพื่อเพิ่มเลือด เพื่อเพิ่มออกซิเจน

ภาวะต่างๆเหล่านี้ส่งผลให้เกิดกลุ่มอาการในเบื้องต้นที่เรียกว่า ‘Acute Mountain sick ness (AMS)’ ซึ่งถ้าปรับตัวได้และดูแลตนเองได้ทัน อาการต่างๆมักฟื้นกลับเป็นปกติได้ภายใน 2-3 วัน

แต่ถ้าร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวได้ หรือมีการขาดออกซิเจนเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มีเลือดคั่งในเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น มือ เท้า แต่ที่สำคัญ และที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง คือ เลือดคั่งในปอด และในสมอง ซึ่งเมื่อมีเลือดคั่ง น้ำจากหลอดเลือดจะซึมออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆหลอดเลือด จึงก่อให้เกิดมีการบวมของ มือ เท้า แต่ที่สำคัญ คือมีน้ำคั่งในเนื้อเยื่อปอด/ปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) เกิดอาการที่เรียกว่า ‘เอชเอพีอี (HAPE หรือ High altitude pulmonary edema)’ และสมองบวมน้ำจากมีน้ำคั่งในเนื้อเยื่อสมอง (Brain edema) เกิดอาการที่เรียกว่า ‘เอชเอซีอี (HACE หรือ High altitude cerebral edema)’ ซึ่งทั้งสองอาการจัดเป็นอาการที่รุนแรง อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

โรคจากขึ้นที่สูงมีอาการอย่างไร? มีความรุนแรงอย่างไร?

อาการของโรคจากขึ้นที่สูง มีได้ 3 กลุ่มอาการตามความรุนแรงของอาการจากน้อยไปหามากดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ’โรคฯเกิดได้อย่างไร?’ คือ AMS, HAPE, และ HACE

ก. AMS (Acute Mountain sickness) เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยที่สุด รุนแรงน้อยที่สุดในทั้ง 3 กลุ่มอาการ มักเกิดขึ้นประมาณ 6-10 ชั่วโมงหลังจากการขึ้นไปอยู่ในที่สูง อาการแรกสุด คืออาการปวดศีรษะ แต่ปวดไม่มาก

และมีการร่วมดังต่อไปนี้อีกอย่างน้อย 1 อาการ คือ

  • อ่อนเพลีย
  • รู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนล้า ไม่มีแรง
  • มีอาการทางด้านทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • หัวใจเต้นเร็ว (ชีพจรเต้นเร็ว) เหนื่อย หายใจลำบาก (เมื่อออกแรง)
  • วิงเวียน มึนงง จะเป็นลม และ
  • นอนไม่หลับ

AMS พบเกิดได้ประมาณ 10-60% ขึ้นกับระดับความสูง ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ บทนำ มักเกิดภายใน 6-10 ชั่วโมงหลังขึ้นไปอยู่ในที่สูง และอาการจะดีขึ้นภายหลังการดูแลตนเองภายใน 1-2 วัน (อาการมากขึ้นในช่วงกลางคืน และเมื่อตื่นนอนเช้า เพราะเป็นช่วงความดันโลหิตต่ำกว่าช่วงเวลาอื่นๆ) ด้วยการพักผ่อน สูดดมออกซิเจน และลงมาอยู่ในพื้นที่มีความสูงปกติ

ข. HAPE (High altitude pulmonary edema) หรือ อาการจากภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอาการที่รุนแรงกว่า AMS พบได้ประมาณ 0.1-4% โดยจะต้องมีอาการดังจะกล่าวต่อไปอย่างน้อย 2 อาการ คือ

  • ขณะพัก ก็หายใจลำบาก
  • ไอ (เสลดมักเป็นฟอง และอาจมีเลือดสดปน)
  • อ่อนเพลียมากขึ้น
  • ออกแรงไม่ไหว
  • และ/หรือ แน่นหน้าอก

และถ้าตรวจดูจะพบอาการดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อาการเช่นกัน คือ

  • ใบหน้าและ/หรือลำตัวเขียวคล้ำ
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจเร็ว
  • และ/หรือ ถ้าฟังเสียงหายใจ (อาจด้วยหูฟัง) จะได้ยินเสียงผิดปกติ เช่น เสียงหวีด หรือ เสียงแซมหายใจ/เสียงหายใจผิดปกติที่เรียกว่า Rale

HAPE มักเกิดในช่วงกลางคืนเช่นกัน และมักเกิดประมาณวันที่ 1-3 หลังจากขึ้นที่สูง โดยพบว่าเมื่อขึ้นที่สูง 2,500 เมตรประมาณ 15-20 % จะเกิดภาวะนี้ได้ ถ้าไม่ได้รับการรัก ษาทันท่วงที โดยเฉพาะการต้องลงมาจากที่สูง มาอยู่ในพื้นที่ความสูงปกติ มีโอกาสเสียชีวิตได้ประมาณ 40% แต่ถ้าได้รับการรักษารวดเร็ว ผู้ป่วยจะกลับสู่ภาวะปกติได้ภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

ค. HACE (High altitude cerebral edema) หรือ อาการจากสมองบวมน้ำ คือ ผู้ ป่วยจะมีอาการทางสมองร่วมด้วยกับอาการต่างๆทั้งในภาวะ AMS และในภาวะ HAPE เป็นอาการที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มอาการที่เกิดจากโรคจากขึ้นที่สูง พบได้ประมาณ 0.1-4% เช่นกัน โดยมีอาการสำคัญ คือ

  • เดินเซ/เดินได้ไม่ตรง ต่อจากนั้น คือ
  • อาการสับสน
  • ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการต้องลงมาอยู่ในพื้นที่ความสูงปกติ ผู้ป่วยจะโคม่าในระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมงหลังเกิดอาการทางสมอง

HACE มักเกิดต่อเนื่องมาจากการไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเมื่อเกิด AMS และ HAPE โดยอาการจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางคืนเช่นกัน เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยจะฟื้นกลับเป็นปกติได้ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งโอกาสเสียชีวิตจะประมาณ 15-20% และถ้าเกิดโคม่า โอกาสเสียชีวิตจะประมาณ 60%

อะไรคือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากขึ้นที่สูง?

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากขึ้นที่สูง คือ

  • การขึ้นที่สูงอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน
  • การออกแรงมากในที่สูง เช่น เดินเร็ว วิ่ง เพราะจะเพิ่มความต้องการการใช้ออกซิ เจนของร่างกาย
  • ภาวะขาดน้ำ
  • คนที่มีถิ่นพักอาศัยบนพื้นที่ใกล้ระดับน้ำทะเล เพราะร่างกายไม่เคยปรับตัว
  • คนที่เคยมีอาการ AMS มาก่อน
  • คนที่เพิ่งเคยอยู่ในที่สูง หรือท่องเทียวในที่สูง จะลดโอกาสเกิด AMS
  • คนที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ (ภาวะซีด) เพราะจะขาดออกซิเจนได้ง่ายกว่า
  • เป็นโรคหัวใจ หรือเป็นโรคปอด ซึ่งถือเป็นข้อห้ามในการขึ้น/ท่องเที่ยวในสถานที่สูง
  • ความสูงของสถานที่ ยิ่งสถานที่สูง โอกาสเกิดอาการจะสูงขึ้น
  • ตำแหน่งที่ตั้งหรือภูมิศาสตร์ของพื้นที่สูงแต่ละแห่ง เพราะมีความดันอากาศแตกต่างกัน จึงส่งผลต่อโอกาสเกิดภาวะขาดออกซิเจนแตกต่างกัน
  • อาจเกี่ยวข้องกับ เชื้อชาติ และพันธุกรรม

แพทย์วินิจฉัยโรคจากขึ้นที่สูงได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคจากขึ้นที่สูงได้จาก

  • ประวัติการท่องเที่ยว การเดินทาง
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจเลือดซีบีซีดูปริมาณเม็ดเลือดแดง
  • และการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมตามอาการของผู้ป่วยและตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น การเอกซเรย์ปอด เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ/หรือเอมอาร์ไอภาพสมอง เป็นต้น

รักษาโรคจากขึ้นที่สูงได้อย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคจากขึ้นที่สูง ที่ดีที่สุด คือ การกลับลงสู่พื้นที่ปกติ เพราะการพยายามให้การดูแลรักษาบนพื้นที่สูงมักอันตราย ยกเว้นมีโรงพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ หรือทีมแพทย์/พยาบาลที่ชำนาญการเตรียมไว้พร้อมแล้ว

ก. การดูแลรักษา ภาวะ AMS คือ พัก หยุดการออกแรง ให้ออกซิเจน ดื่มน้ำให้เพียงพอ อาการมักจะดีขึ้นภายใน 12-36 ชั่วโมง

ถ้ามีอาการรุนแรง ควรพยายามลงมาที่ราบให้เร็วที่สุด อาจต้องใช้ถุงเพิ่มความดันออกซิเจนในการช่วยนำผู้ป่วยกลับลงมา บางครั้งแพทย์แนะนำให้ยาขับน้ำในสมอง และในปอด ชื่อ Acetazolamide แต่ก็ได้ผลเฉพาะในบางคน หรือบางครั้งอาจฉีดยาในกลุ่มสเตียรอยด์(Steroid) เพื่อช่วยลดการบวม แต่ก็เช่นกัน ไม่สามารถพยากรณ์ผลได้

เมื่อลงมาถึงพื้นราบ การรักษาคือ การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การรักษาภาวะขาดน้ำ การให้ออกซิเจน การใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้ยาปรับความดันโลหิต และการให้ยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ

ข. HAPE: การดูแลรักษาที่สำคัญที่สุด ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบนำผู้ป่วยกลับลงมายังพื้นราบและไปโรงพยาบาลทันที่เพราะผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาจากสถานที่มีเครื่องมือและยาต่างๆในการที่จะรักษาอาการปอดบวมน้ำ เช่น การให้ออกซิเจน การใช้เครื่องช่วยหายใจ การใช้ยาช่วยบรรเทาอาการบวมน้ำของปอด/ปอดบวมน้ำ เช่น ยา Nifedipine

ค. HACE: การดูแลรักษาที่สำคัญที่สุด ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบนำผู้ป่วยกลับลงมายังพื้นราบและไปโรงพยาบาลทันที่เพราะผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาจากสถานที่มีเครื่องมือและยาต่างๆในการที่จะรักษาอาการสมองบวมได้ เช่น การให้ออกซิเจน การให้ยา Dexamethazone และการใช้เครื่องช่วยหายใจ

โรคจากขึ้นที่สูง มีผลข้างเคียงไหม?

โดยทั่วไป เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม รวดเร็ว ผู้ป่วยจะฟื้นกลับเป็นปกติ และไม่มีผลข้างเคียงแทรกซ้อนใดๆ แต่ทั้งนี้ เมื่อกลับไปขึ้นที่สูงอีก โอกาสเกิดโรคจากขึ้นที่สูงก็จะสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดภาวะปอดบวมน้ำ/ HAPE และ/หรือภาวะสมองบวม/ HACE ก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ‘อาการฯ’

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเกิดโรคจากขึ้นที่สูง? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเอง ควรเริ่มตั้งแต่ก่อนการขึ้นที่สูง และเมื่อขึ้นที่สูง ควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นเสมอ

  • เมื่อเริ่มมีอาการ ที่สำคัญที่สุด คือ อาการปวดศีรษะ ต้องหยุดพักการออกแรงต่างๆ พักร่างกายให้เต็มที่เพื่อลดความต้องการออกซิเจนของร่างกาย สูดดมออกซิเจน และดื่มน้ำสะอาด ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ แล้วรีบกลับลงมายังพื้นราบ
  • อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารอ่อน และเป็นอาหารที่ย่อยง่ายในกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) และ
  • เมื่ออยู่บนพื้นราบแล้ว ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล แต่ถ้า*อาการเลวลง ควรไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน/ทันที
  • นอกจากนั้น ต้องรีบพบแพทย์ หรือไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน เมื่อ
    • มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
    • ไอ หรือไอเป็นเลือด
    • หรือเริ่มมีปัญหาเดินเซ หรือสับสน

ป้องกันโรคจากขึ้นที่สูงได้อย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคจากขึ้นที่สูง ดังนั้นวิธีป้องกันโรคจากขึ้นที่สูงที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ

  • การปรับตัวให้ร่างกายรับได้กับภาวะมีออกซิเจนและมีความกดอากาศต่ำ ซึ่ง คือ การค่อยๆปรับระดับความสูง เดินขึ้นช้าๆ อย่าออกแรงมาก หยุดพักไปเรื่อยๆ และ อย่าให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ

นอกจากนั้นที่เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน คือ

  • รู้จักสถานที่ที่จะไป รู้ว่ามีโอกาสเกิดโรคนี้ได้เสมอ รู้จักอาการเริ่มต้นของภาวะนี้ ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้ออาการ เพื่อการปรับตัว และการป้องกันไม่ให้เกิดอาการมาก ขึ้น
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ไม่สูบบุหรี่
  • อาหาร: ผู้นำทางบางคนแนะนำให้กินอาหารคาร์โบไฮเดรต เพราะเชื่อว่าในการย่อย จะใช้ออกซิเจนต่ำกว่าอาหารให้พลังงานกลุ่มอื่น คือ โปรตีน และไขมัน แต่การศึกษาต่างๆยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในเรื่องอาหาร รวมถึง วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ ยาและสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันโรคจากการขึ้นที่สูงได้ แต่โดยทั่วไปมักแนะนำให้กินอาหารมื้อละน้อยๆ แต่เพิ่มมื้ออาหารให้มากขึ้น ดังนั้นการทำตามคำแนะนำของผู้นำทางจะเป็นประโยชน์ที่สุด
  • เตรียมออกซิเจนเสริมให้พอเพียง
  • เมื่อรู้สึกเริ่มมีอาการผิดปกติ ต้องพัก หรือล้มเลิกการเดินทาง ควรรีบกลับลงสู่พื้นราบให้เร็วที่สุด
  • ถ้าเป็นไปได้ ในการท่องเที่ยว ควรกลับลงมานอนในพื้นที่ราบเสมอ เพราะดังกล่าวแล้วในหัวข้อ อาการว่า อาการต่างๆมักรุนแรงในช่วงกลางคืน
  • เมื่ออยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป หรือเมื่อสงสัยมีปัญหาสุขภาพ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายก่อนเดินทาง ซึ่งอาจจำเป็นต้องกินยาบางชนิดล่วงหน้า เช่น ยาขับน้ำ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งนี้เพราะยาที่ใช้เพื่อการป้องกันเหล่านี้มีผลข้างเคียงได้ แพทย์จึงต้องเป็นผู้ประเมินถึงความเหมาะสม
  • ในการเดินทาง ควรต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้นำทางเสมอ และเมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าวในหัวข้ออาการ ต้องรีบแจ้งให้ผู้นำทางทราบทันที
  • ไม่เดินทางขึ้นที่สูงเมื่อมีโรคหัวใจ และ/หรือโรคปอด

บรรณานุกรม

  1. Fiore, D., and Shoja, P. (2010). Altitude illness: risk factors, prevention, and treatment. Am Fam Physician. 82, 1103-1110.
  2. Harris, M. Et al. (1998). Altitude medicine. Am Fam Physician. 57, 1907-1914.
  3. Taylor, A. (2011). High altitude illness: physiology, risk factors, prevention, and treatment. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3678789/ [2018,Nov10]
  4. http://emedicine.medscape.com/article/768478-overview#showall [2018,Nov10]
  5. http://en.wikipedia.org/wiki/Altitude_sickness [2018,Nov10]
  6. http://en.wikipedia.org/wiki/Effects_of_high_altitude_on_humans [2018,Nov10]
  7. https://www.nhs.uk/conditions/altitude-sickness/ [2018,Nov10]