โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ (Temporal Arteritis หรือ Giant Cell Arteritis)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

อาการปวดศีรษะ เป็นอาการทางระบบประสาทที่พบบ่อยที่สุด อาจกล่าวได้ว่าทุกคนต้องเคยมีอาการปวดศีรษะ โดยสาเหตุของอาการปวดศีรษะส่วนใหญ่นั้นไม่ร้ายแรง แต่ถ้าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โอกาสจะมีสาเหตุที่ร้ายแรงนั้นพบได้สูงขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) ต่างๆได้ เช่น ตาบอด ซึ่งโรคที่เป็นสา เหตุของอาการปวดศีรษะในผู้สูงอายุที่พบบ่อยโรคหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือด (บริเวณ) ขมับอักเสบ (Temporal arteritis หรือ Giant Cell Arteritis หรือ Cranial arteritis)” โรคนี้มีลักษณะอย่างไร ลองติดตามรายละเอียดต่อไปนี้

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบคืออะไร? เกิดได้อย่างไร?

หลอดเลือดขมับอักเสบ

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ เกิดจากร่างกายมีการสร้างสารกระตุ้นการอักเสบขึ้นมาหลายชนิด และสารเหล่านั้นก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงบริเวณขมับที่เรียกว่า Temporal artery และของหลอดเลือดแดงต่างๆที่เป็นแขนงของหลอดเลือดแดงคาโรติคส่วนนอกสมอง [External carotid artery, หลอดเลือดแดงที่ให้แขนงต่างๆ (รวมทั้ง หลอดเลือดขมับ) เพื่อหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในบริเวณศีรษะ เช่น ตา ไซนัส หู และกล้ามเนื้อใบหน้า] รวม ทั้งอาจก่อให้เกิดอาการอักเสบได้ทั่วตัว โดยการอักเสบนี้ไม่ได้เกิดจากภาวะติดเชื้อที่หลอดเลือดในสมองตามที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งสาเหตุที่แน่นอนที่ทำให้หลอดเลือดแดงเหล่านี้อักเสบ ยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ผิดปกติของหลอดเลือดเหล่านี้

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบพบบ่อยหรือไม่?

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบพบบ่อยในผู้มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน พบในคนเชื้อชาติยุโรปมากกว่าชาวเอเชีย โรคนี้พบไม่บ่อยคือ พบประมาณ 10-20 รายต่อประชากร 100,000 คนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือไม่ยังไม่ชัดเจน

 

อนึ่ง นอกจาก อายุ และเชื้อชาติแล้ว ยังไม่พบปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้จากสาเหตุอื่นๆ

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาการอย่างไร?

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ จะมีอาการ

  • ปวดศีรษะรุนแรง บริเวณขมับด้านใดด้านหนึ่ง หรืออาจทั้งสองด้านก็ได้
  • ซึ่งโรคนี้พบในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยประวัติไม่เคยมีอาการปวดศีรษะลักษณะแบบนี้มาก่อน
  • นอกจากปวดศีรษะ/ขมับแล้ว เมื่อกดขมับ จะมีอาการเจ็บบริเวณขมับโดยเฉพาะตามแนวหลอดเลือดขมับ
  • ร่วมกับเมื่อเคี้ยวอาหาร จะปวดบริเวณ กราม ลิ้น
  • และขณะปวดยังจะมองเห็นภาพไม่ชัดเจน
  • ซึ่งอาการผิดปกติดังกล่าว ยังมักร่วมกับมีอาการผิดปกติทั่วตัว เช่น
    • ไข้ต่ำๆ
    • อ่อนเพลีย
    • รู้สึกไม่สบายตัว
    • ปวดเมื่อยตามตัว

 

*อนึ่ง ยังไม่พบว่า อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดอาการ หรือ กระตุ้นให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น

 

ผู้ป่วยปวดศีรษะแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์?

ผู้ป่วยที่ควรรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยันว่า สาเหตุการปวดศีรษะเกิดจากอะไร คือ ผู้ป่วยวัยกลางคนขึ้นไป ที่มี

  • อาการปวดศีรษะมาก/รุนแรงบริเวณขมับ
  • กดเจ็บขมับ
  • ร่วมกับมีอาการ
    • อ่อนเพลีย
    • มีไข้ต่ำๆ
    • ปวดตามตัว

 

แพทย์วินิจฉัยโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้อย่างไร?

การวินิจฉัยที่สำคัญคือ แพทย์ต้องคิดถึงโรคนี้เมื่อผู้ป่วยมีอาการ ปวดศีรษะรุนแรง บริเวณขมับ โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยที่

  • มีอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป
  • มีอาการปวดศีรษะบริเวณขมับข้างเดียว
  • กดเจ็บบริเวณขมับ ร่วมกับอาการดังกล่าวข้างต้นใน’หัวข้อ อาการฯ’
  • ซึ่งเมื่อแพทย์สงสัยโรคนี้ ก็จะส่งตรวจหาค่าการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte sedimentation rate : ESR) ซึ่งจะพบว่ามีค่าสูงมากกว่า 50 มม.(มิลลิเมตร) ต่อชั่วโมง (ส่วนใหญ่จะมากกว่า 100 มม.)
  • นอกจากนี้ จะมีการตัดชิ้นเนื้อหลอดเลือดขมับ ความยาวของหลอดเลือดที่ตัดออกมาตรวจประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา โดยจะตรวจพบเซลล์ชนิดพิเศษที่มีขนาดใหญ่มีหลายนิวเคลียส (Nucleus, สารพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ที่มักรวมกันอยู่ใจกลางเซลล์) ที่เรียกว่า Multinucleated giant cells ซึ่งให้ผลบวก (สามารถช่วยวินิจฉัยโรคได้) ประมาณ 60% แต่เนื่องจากต้องมีการตัดหลอดเลือดมาตรวจ ในทางปฏิบัติจึงไม่ค่อยนิยมใช้เป็นวิธีวินิจฉัย

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาอย่างไร?

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาด้วย

  • การให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูง
  • และต้องรักษาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
  • โดยแพทย์จะรักษาดูแลติดตามอาการค่าอักเสบของหลอดเลือดด้วยการตรวจการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR) เป็นระยะๆ

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบรักษาให้หายขาดได้อย่างไร?

โรคหลอดเลือดขมับอีกเสบ รักษาให้หายขาดได้โดย

  • การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์
  • และในกรณีโรคตอบสนองไม่ดีต่อยาสเตียรอยด์ แพทย์ก็จะให้ยาสเตียรอยด์ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีหรือไม่?

ภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากโรคหลอดเลือดขมับอักเสบ ที่อาจพบได้ คือ

  • ภาวะตาบอด เนื่องจากการอักเสบของหลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงจอประสาทตา และที่มาเลี้ยงเส้นประสาทตา
  • เกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
  • และอาจก่อให้เกิด อัมพาต เนื่องจากมีการอักเสบของหลอดเลือดในสมองร่วมด้วยได้

 

ผู้ป่วยต้องพบแพทย์ตามนัดนานเท่าใด? เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?

โรคนี้จำเป็นต้องรับการรักษาจากแพทย์ ไม่สามารถดูแลรักษาด้วยตนเองได้ ผู้ป่วยต้องทานยาที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอนานประมาณ 1 ปี และต้องมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแพทย์ประเมินอาการของโรค และตรวจดูว่ามีผลแทรกซ้อนจากโรค หรือจากการใช้ยาหรือไม่

 

ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอเมื่อ

  • มีอาการผิดปกติรุนแรงมากขึ้น
  • หรือเกิดผลแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น การติดเชื้อ

 

โรคหลอดเลือดขมับอักเสบมีอาหารต้องห้ามหรือไม่?

เนื่องจากการรักษาต้องทานยาสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้น

  • ควรงดของหวาน เพื่อลดโอกาสการเกิด โรคเบาหวาน
  • งดอาหารเค็ม เพื่อลดโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง
  • และควรทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน

 

เมื่อเป็นโรคหลอดเลือดขมับอักเสบควรดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคนี้ คือ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อดนอนหรือนอนดึก เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้มีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ป้องกันการเกิดกระดูกพรุนจากยาที่ใช้รักษา
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารสุกๆดิบๆหรืออาหารค้างคืน เพราะจะก่อให้เกิดอาการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากยาที่ใช้รักษาเป็นยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค และการที่ต้องรักษาเป็นระยะเวลานาน ก็มีโอกาสก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาได้ง่าย ไม่ควรทานอาหารเค็ม หวาน รสจัดมาก
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อมีสุขภาพกายที่ดี ร่วมกับการมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง มักส่งผลถึงสุขภาพกายและสุขภาพจิตเสมอ

 

ป้องกันโรคหลอดเลือดขมับอักเสบได้ไหม?

ปัจจุบัน โรคนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้

 

สรุป

โรคปวดศีรษะจากการอักเสบของหลอดเลือดขมับเป็นโรคที่พบไม่บ่อย แต่เป็นโรคที่อันตราย ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ต่อเนื่อง ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติดังกล่าวในหัวข้อ อาการ ต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อการรักษาที่เหมาะสม ก็จะสามารถช่วยให้ควบคุมโรคได้