ตุ่มมดกัด (Ant bites)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

มดกัด (Ant bites) เป็นภาวะพบบ่อยในทุกเพศทุกวัยทุกสถานที่ทั่วโลก โดยปัญหาที่เกิดตามหลังจากการถูกมดกัดขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย

  • ปัจจัยแรกคือ ตัวผู้ป่วยเองมีแนวโน้มในการเกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อแมลงสัตว์มดกัดต่อยมากน้อยแค่ไหน หากเป็นคนที่มีแนวโน้มในการเกิดปฏิกิริยาแพ้แมลงสัตว์กัดต่อยมาก เมื่อถูกมดกัดอาจเกิด เป็นตุ่มคันตามหลังมดกัดเรียกอาการนี้ว่า Insect bite reaction ซึ่งมักพบในเด็ก ถ้ามีอาการคันมากอาจเกาต่อจนลุกลามเกิดเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังตามมาได้ แต่ในคนที่ไม่มีปฏิกิริยาแพ้มด หลังถูกมดกัดก็อาจเป็นเพียงรอยแดง มีอาการคันบ้าง และหายได้เองในเวลาไม่นาน
  • อีกปัจจัยหนึ่ง (ปัจจัยที่ 2) ที่มีผลต่ออาการหลังถูกมดกัดคือ ชนิดของมด มดบางชนิดเช่น มด คันไฟ มีพิษทำให้เกิดตุ่มน้ำอาการแพ้และคันบริเวณที่ถูกมดคันไฟกัดได้ ซึ่งทำให้อาการหลังถูกมดคันไฟกัดรุนแรงกว่าการถูกมดทั่วไปกัด

อาการตุ่มมดกัดเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตุ่มมดกัด

หลังถูกมดกัด ผิวหนังจะมีปฏิกิริยาจากการบาดเจ็บของผิวหนัง (รอยแผลถูกกัด) และจากสาร เคมีจากมด เช่น น้ำลาย เกิดเป็นปฏิกิริยาการแพ้ที่ผิวหนังขึ้น หรือหากมดนั้นมีพิษด้วย ผิวหนังจุดที่ถูกกัดก็จะเกิดเป็นตุ่มแดง เป็นตุ่มน้ำ จากพิษของมดได้

อาการตุ่มมดกัดติดต่ออย่างไร?

ตุ่มมดกัด มิใช่โรคติดต่อแต่อย่างใด จึงไม่มีการติดต่อไปสู่ผู้อื่น แม้ว่าจะมีการสัมผัสผื่นหรือสัมผัสตุ่มมดกัดก็ตาม

ตุ่มมดกัดมีอาการอย่างไร?

อาการจากตุ่มมดกัดมักพบเป็น

  • ตุ่มแดง นูน คัน
  • อาจมีน้ำเหลืองหรือเกิดหนอง
  • กรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนจากการเกา และเมื่อเวลาผ่านไป รอยโรคที่ถูกกัดจะเปลี่ยนเป็นรอยดำที่เป็นปฏิกิริยาของผิวหนังหลังการอักเสบ (Post inflammatory hyperpigmentation)
  • ทั้งนี้มักพบตุ่มถูกกัดบริเวณนอกร่มผ้าที่มีโอกาสถูกมดกัดได้บ่อย เช่น แขน ขา (ส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า)
  • ส่วนรอยโรคจาก มดคันไฟกัดกัดนั้นจะเป็นตุ่มน้ำใส แดงคัน บริเวณที่ถูกกัด

แพทย์วินิจฉัยตุ่มมดกัดได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นตุ่มมดกัดจากลักษณะของรอยโรค และประวัติการถูกมดกัด โดยเฉพาะใน เด็กและในผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทำให้บางครั้งอาจถูกมดกัดหลายตำแหน่งได้

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

โดยทั่วไปตุ่มมดกัด สามารถหายได้เองใน 1 - 2 วัน แต่หากโดนกัดหลายตำแหน่ง คันมาก สามารถมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อประเมินอาการและรับยาบรรเทาอาการได้

รักษาและดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีตุ่มมดกัด?

การรักษาและการดูแลตนเองเมื่อมีตุ่มจากมดกัดคือ การรักษาดูแลตามอาการ ได้แก่

  • ทำความสะอาดรอยมดกัดด้วยสบู่และล้างน้ำตามปกติ
  • ถ้ามีอาการแสบร้อนจากการถูกมดคันไฟกัด สามารถประคบเย็นที่ตุ่มมดกัดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • ทายาทาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการคันจากการแพ้ โดยใช้ยาสเตียรอยด์ความเข้มข้นปานกลาง เช่น 0.1% Triamcinolone ทาที่ตุ่มคัน เช้า - เย็น เมื่ออาการหายก็หยุดทายาได้ ทั้งนี้ไม่ควรทายาติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์

อนึ่ง ถ้าอาการจากตุ่มมดกัดมีมากอาจใช้ยาและวิธีอื่นร่วมกับวิธีที่กล่าวในตอนต้นคือ

  • รับประทานยาแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine เพื่อลดอาการคัน
  • ระมัดระวังพยายามอย่าเกาเพื่อป้องกันเกิดแผลที่ผิวหนัง ผิวหนังที่รอยเกาติดเชื้อแบคทีเรีย และการเกิดรอยดำหลังการเกา/หลังการอักเสบของผิวหนัง
  • เลี่ยงไม่ให้ตุ่มมดกัดถูกแสงแดดจัด และทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยดำหลังการอักเสบของผิวหนัง ทั้งนี้รอยดำที่เกิดขึ้นสามารถใช้ครีมบำรุงผิวประเภท Whitening ทาเพื่อให้รอยดำจางลงได้

ตุ่มมดกัดก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียงจากตุ่มมดกัดคือ แผลรอยเกาติดเชื้อแบคทีเรีย (อักเสบเป็นหนอง) ซึ่งต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และการเกิดรอยดำหลังการอักเสบของผิวหนังส่วนที่ถูกมดกัด

ตุ่มมดกัดมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคในตุ่มมดกัด คือ

  • รอยตุ่มแดง คัน อักเสบ จากถูกมดกัด มักดีขึ้นในระยะเวลา ประมาณ 2 สัปดาห์
  • ส่วนรอยดำหลังผิวหนังอักเสบจะค่อยๆจางลงในเวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดรอยแผลและสภาพผิวของแต่ละคน และ
  • ตุ่มมดกัดสามารถกลับเป็นซ้ำได้ใหม่เมื่อถูกมดกัดซ้ำอีก

เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?

ถ้าเคยพบแพทย์จากตุ่มมดกัดหรือตุ่มคันต่างๆ ควรพบแพทย์ก่อนนัด

  • หากสังเกตพบรอยแผล/ ตุ่มคันขยายขนาดขึ้นเป็นหนองหรือมีไข้ ซึ่งเป็นลักษณะของการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ป้องกันเกิดตุ่มมดกัดอย่างไร?

การป้องกันเกิดตุ่มมดกัด คือ การป้องกันตนเองจากการถูกมดกัดต่อย โดยการเลี่ยงบริเวณที่เป็นรังมด เช่น ตามใต้ต้นไม้ในสวน และใช้การสังเกตเลี่ยงการไปก่อกวนที่อยู่อาศัยของมด

บรรณานุกรม

1. ปรียา กุลละวณิชย์,ประวิตร พิศาลยบุตร .Dermatology 2020:ชื่อบท.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:โฮลิสติก,2555
2. Lowell A. Goldsmith,Stephen I. Katz,Barbara A. Gilchrest,Amy S. Paller,David J.Leffell,Klaus Wolff.Fitzpatrick’s dermatology in general medicine :chapter.eight edition.McGraw-Hill.2012