กระจกตาอักเสบ (Keratitis) กระจกตาเป็นแผล (Corneal ulcer)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

กระจกตาคนเราเป็นอวัยวะ/เนื้อเยื่อส่วนหน้าสุดของลูกตา มีลักษณะเป็นรูปกระทะคว่ำ มีความหนาตรงส่วนกลางเพียง 0.5 – 0.6 มม. (มิลลิเมตร) และ 0.8 – 1 มม.บริเวณขอบๆ เป็นเนื้อเยื่อส่วนสำคัญที่ช่วยในการรวมแสง ทำให้ตาเรามองเห็น โดยกระจกตาจะต้องมีผิวเรียบ ใส สะอาด มีความโค้งที่สม่ำเสมอ และเช่นเดียวกับอวัยวะ/เนื้อเยื่ออื่นๆของร่างกาย ที่อาจมีการอัก เสบเกิดขึ้นได้

การอักเสบของกระจกตา (Keratitis) อาจแบ่งย่อยละเอียดออกไปเป็นการอักเสบตามเนื้อเยื่อชั้นต่างๆของกระจกตา ได้แก่

  • Epitheliitis หรือ Epithelial keratitis เป็นการอักเสบที่ชั้นผิวกระจกตาชั้นนอก คือ เฉพาะชั้นเยื่อบุผิว (Epithelium)
  • Stromal keratitis เป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อกระจกตาชั้นกลาง
  • Endotheliitis เป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อกระจกตาชั้นในสุด ซึ่งการอักเสบในเนื้อ เยื่อชั้นนี้ มักเป็นผลจากการอักเสบของม่านตา แล้วลามมาถึงเนื้อเยื่อชั้นในของกระจกตา หรือเป็นการอักเสบหลังการผ่าตัดในลูกตาที่เป็นการอักเสบที่ไม่มีเชื้อโรค/ไม่มีการติดเชื้อ

อนึ่ง คำว่า กระจกตาอักเสบ (Keratitis) เป็นคำรวม หมายถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อชั้นใดชั้นหนึ่งหรือหลายชั้นของกระจกตาก็ได้

นอกจากนั้น กระจกตาอักเสบ ยังแบ่งเป็น การอักเสบที่ไม่ก่อให้เกิดแผลกับกระจกตา(Non ulcerative), และ การอักเสบที่ก่อให้กระจกตาเกิดเป็นแผล (ulcerative หรือ Corneal ulcer) ซึ่งหากเป็นแผล หมายถึงมีการสูญเสียบางส่วนของกระจกตา

ดังนั้น หากใช้คำรวมว่า กระจกตาอักเสบ (Keratitis) จึงเป็นการอักเสบถึงชั้นเนื้อเยื่อกระ จกตาชั้นกลาง/Stroma ไม่ว่าจะเป็นแผล (Ulcer) หรือไม่เป็นแผลก็ได้

ส่วนกระจกตาถลอก (Corneal abrasion) หมายถึง ภาวะที่กระจกตาชั้นเยื่อบุผิวหลุดลอกไปเฉยๆ โดยไม่มีการอักเสบ (การอักเสบ หมายถึง มีเม็ดเลือดขาวเข้ามาอยู่ในบริเวณที่เกิดการอักเสบ) แต่หากกระจกตาถลอก รักษาได้ไม่ดี ก็จะนำไปสู่กระจกตาอักเสบได้ และอาจอักเสบลึกลงถึงเนื้อเยื่อชั้นกลางของกระจกตาได้

กระจกตาอักเสบ อาจเกิดจากติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อก็ได้ (เช่น จากโรคภูมิแพ้ หรือจากอุบัติเหตุต่อกระจกตาจากใส่คอนแทคเลนส์) แต่ภาวะติดเชื้อ พบได้มากและรุนแรงกว่า ในบท ความนี้ จึงจะกล่าวถึงเฉพาะ “กระจกตาอักเสบจากการติดเชื้อ” เท่านั้น โดยขอเรียกว่า “กระจกตาอักเสบ”

กระจกตาอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?

กระจกตาอักเสบ

สาเหตุของกระจกตาอักเสบติดเชื้อ เกิดจาก เชื้อได้ทุกชนิด ได้แก่

  • แบคทีเรีย ที่ก่อโรค มีหลายชนิด ขึ้นกับในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละประเทศที่อาจแตกต่างกันได้ แต่ที่พบบ่อย เช่น Staphylococcus aureus และ Pseudomonas aeruginosa
  • ไวรัส ที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อเริม (Herpes) ซึ่งก่อให้เกิดอักเสบได้กับเนื้อเยื่อทุกชั้นของกระจกตา จึงมีอาการรุนแรงลดหลั่นกันตามเนื้อเยื่อกระจกตาที่ติดเชื้อ โดยการติดเชื้อของเนื้อเยื่อชั้นใน จะรุนแรงที่สุด
  • เชื้อรา ที่พบได้ เช่น Aspergillus หรือ Fusarium
  • ปรสิต เช่น Acanthamoeba ในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ ซึ่งกรณีนี้จะค่อนข้างยากในการรักษา

อนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดจากเชื้ออะไรใน 4 ประเภทข้างต้น ถ้าเป็นเชื้อปรสิต หรือเชื้อรา ค่อน ข้างยากในการรักษา เพราะไม่ค่อยมียาที่จำเพาะ ถ้าเป็นเชื้อไวรัสก็มักจะเกิดการอักเสบเรื้อรัง เพราะตัวไวรัส จะไปซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงส่งผลให้เกิดการอักเสบเป็นใหม่ ซ้ำๆได้ ส่วนถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้กระจกตาทะลุได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการอักเสบของกระจกตาจะเกิดจากจากเชื้อใด การรักษามักต้องใช้เวลานาน

อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกระจกตาอักเสบ?

โดยทั่วไป กระจกตาอักเสบ จะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มด้วยมีรอยแผลถลอก หรือได้รับอุบัติ เหตุที่กระจกตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมฝังตัวบนผิวกระจกตา เชื้อโรคถึงจะแทรกเข้าไประหว่างแผล และก่อโรคได้ (มีเชื้อแบคทีเรียไม่กี่ตัวที่สามารถทะลุเข้ากระจกตา โดยไม่ต้องมีบาดแผลที่สำคัญ เช่น เชื้อหนองใน/Gonococcus) แม้ว่ากระจกตาจะมีการป้องกันตัวเองด้วยขบวนการต่างๆ เช่น การมีผิวที่เรียบ มีน้ำตาอาบอยู่ เพื่อคอยช่วยชะเชื้อโรคและสิ่งสกปรก มีการกระพริบตา มีเส้นประสาทมาเลี้ยงมาก เพื่อเลี่ยงภยันตรายต่างๆ ตลอดจนมีเอนไซม์ และสารเคมีในน้ำ ตาที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้ก็ตาม แต่กระจกตาของบางคน ก็อาจมีการติดเชื้อได้ง่าย โดยมีปัจจัยเสี่ยง ต่อไปนี้

  • มีความผิดปกติของตา เช่น ผู้ที่มีเปลือกตา/หนังตาอักเสบเรื้อรัง ตาแห้ง ขนตาเกเข้าไปในตา ตาโปน ตาหลับไม่สนิท/หนังตาปิดไม่สนิทเมื่อหลับตา จากอัมพาตของเส้นประ สาทสมองเส้นที่ 7 ซึ่งภาวะเหล่านี้ ทำให้การปกป้องลูกตาทำได้ไม่ดี จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายต่อกระจกตา
  • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่สกปรก มีฝุ่น หรือที่เสี่ยงอันตรายต่อตา (เช่น ทำงานในโรงงานที่เสี่ยงต่อสารพิษหรือสารเคมีเข้าตา ช่างก่อสร้างที่มีโอกาสถูกของมีคม ดิน หิน กระเด็นเข้าตา เกษตรกรถูกใบไม้/กิ่งไม้บาดตา/ทิ่มตา) ตลอดจนอุบัติเหตุทั่ว ๆไปในชีวิตประจำวัน เช่น ผงเข้าตา แมลงเข้าตาในคนขี่จักรยานยนต์ เป็นต้น
  • การใช้คอนแทคเลนส์ ปัจจุบันกระจกตาอักเสบจากการใช้คอนแทคเลนส์มีมากขึ้นโดยเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้ว ด้วยเหตุที่การใช้คอนแทคเลนส์เสมือนหนึ่งมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ที่ผิวกระจกตาตลอดเวลา ทำให้กระจกตาอยู่ในภาวะพร่องออกซิเจนอยู่เสมอ (Hypoxia) และหากใส่อยู่นานๆ เลนส์สกปรก ใส่นอน และ/หรือการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคไม่สมบูรณ์ จะทำให้โอกาสเกิดกระจกตาอักเสบมีมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่น (เช่น คอนแทคเลนส์ตาโต คอนแทคเลนส์สี ที่มีการโฆษณากันมากมาย) ตลอดจนราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกลง จึงทำให้ปัญหานี้มีมากขึ้น
  • ผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคทางกายเรื้อรัง (เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง) ผู้ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ทุพพลภาพ ผู้ป่วยโรคเอดส์ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย รวมทั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุต่างๆที่ตาร่วมด้วย
  • มีการอักเสบที่ลามมาจากอวัยวะใกล้เคียง เช่น จาก หนังตาอักเสบเรื้อรัง, จาก เยื่อตาอักเสบที่บางชนิดลามมายังกระจกตาได้

อนึ่ง ปัจจัย 3 ข้อแรก เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดกระจกตาอักเสบบ่อยที่สุด

กระจกตาอักเสบมีอาการอย่างไร?

กระจกตาเป็นอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกมาก การอักเสบจะทำให้ผู้ป่วย มีอาการดังต่อไปนี้เป็นหลัก คือ

  • ปวดตา เจ็บตา
  • ตาแดง
  • ตาสู้แสงไม่ได้/ตากลัวแสง น้ำตาไหลตลอดเวลา

นอกจากนั้น มักจะร่วมกับมี ขี้ตา และสายตาอาจมัวลง ถ้ามีแผลใหญ่ หรือแผลอยู่ตรงกลางกระจกตา

แพทย์วินิจฉัยกระจกตาอักเสบได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยกระจกตาอักเสบได้จาก การตรวจตาแล้วพบแผลบริเวณกระจกตาชัดเจน ร่วมกับตาแดงจากหลอดเลือดรอบๆตาดำ/กระจกตาขยายตัว หากเป็นมากอาจพบหนองในช่องหน้าลูกตา (Hypopyon) ซึ่งหนองนี้เป็นปฏิกิริยาต้านการอักเสบ มักจะไม่มีเชื้อโรค นอกจากกระจกตาที่เป็นแผลมีรูทะลุเกิดขึ้น และแพทย์จะบันทึกถึงบริเวณที่เกิดแผล ขนาดของแผลทั้งความกว้างและความลึก เพื่อไว้เปรียบเทียบในการตรวจติดตามผลการรักษา

นอกจากนั้น คือ การดูลักษณะของแผล เพราะเชื้อโรคบางชนิด ทำให้เกิดแผล ลักษณะ เฉพาะของแผล เช่น แผลจากเชื้อเริม จะมีลักษณะเป็นกิ่งก้าน (Dendritic) เป็นต้น, การดูลักษณะของขี้ตา ร่วมกับประวัติที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ทำให้พอวินิจฉัยถึงเชื้อชนิดที่เป็นต้นเหตุ เช่น การใช้คอนแทคเลนส์ หรือเครื่องสำอาง มักจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Pseudomonas, ในผู้ติดสุราเรื้อรัง หรือมีภาวะทุโภชนา มักเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Moraxella, หรือในเกษตรกร มักเป็นการติดเชื้อรา เป็นต้น

หากขนาดแผลใหญ่ หรือผ่านการรักษามาบ้างแล้ว แต่แผลยังใหญ่และรุนแรง แพทย์จะทำการขูดขอบแผล ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยมีการย้อมสีพิเศษ เพื่อหาเชื้อต้นเหตุ ตลอด จนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น ขูดขอบแผล เพื่อนำเนื้อเยื่อไปเพาะเชื้อ ดูชนิดของเชื้อ และเพื่อดูการตอบสนองของเชื้อต่อชนิดยาที่จะรักษาได้ผลดี เป็นต้น

รักษากระจกตาอักเสบอย่างไร?

กระจกตาอักเสบติดเชื้อ ถือเป็นภาวะที่สำคัญที่ต้องให้การรักษาทันทีที่ตรวจพบ ซึ่งการรักษาประกอบด้วย

1. ยา

  • ส่วนใหญ่จะเน้นที่ยาหยอดตา เพราะจะเข้าถึงบริเวณรอยโรคได้ดีกว่าการรับ ประทาน หากวินิจฉัยว่าติดเชื้อแบคทีเรีย จะให้ยาหยอดตาประเภทยาปฏิชีวนะหยอดบ่อยๆ ในรายเป็นรุนแรง อาจต้องหยอดตาทุก 15 – 30 นาทีในวันแรก (โดยมากถ้าเป็นรุนแรง มักจะต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล) หลังประเมินผลการรักษาแล้ว จึงค่อยๆหยอดตาห่างลง

หากวินิจฉัยว่าติดเชื้อรา จำเป็นต้องให้ยารักษาเชื้อรา หรือถ้าวินิจฉัยว่าติดเชื้อเริมก็ให้ยาต้านเชื้อเริม

การให้ยาวิธีอื่น ได้แก่ การฉีดยาเข้าใต้เยื่อบุตา การรับประทาน ตลอดจนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือให้ทางน้ำเกลือ พิจารณาเฉพาะรายที่จำเป็นมากเท่านั้น

  • เนื่องจากจะมีอาการปวดตามาก จึงนิยมให้ยาลดการเพ่งของตา (Cyclople gic) ควบคู่ไปด้วย
  • ยาแก้ปวดชนิดรับประทาน ให้ตามความจำเป็น

2. การผ่าตัดกระจกตา ใช้ในรายที่เป็นรุนแรง ส่วนใหญ่เมื่อใช้ยาไม่ได้ผล และแผลทำท่าจะเกิดการทะลุ ซึ่งจะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ภายในลูกตา

  • มีการใช้สารที่เป็นกาว (Glue) เพื่อปิดแผล ในกรณีแผลทะลุหรือใกล้ทะลุขนาดเล็ก
  • ใช้เยื่อตารอบๆกระจกตา มาปิดแผล หรืออาจใช้เยื่อหุ้มรกของทารกมาปิดแผล กันไม่ให้เกิดแผลทะลุ และผ่าตัดนำหลอดเลือดจากเยื่อตามาช่วยรักษาแผล
  • การเปลี่ยนกระจกตา/การปลูกถ่ายกระจกตา อาจพิจารณาทำใน 2 กรณี
    • กรณีแรก เมื่อกระจกตาใกล้ทะลุ หรือทะลุขนาดใหญ่ (ที่ Glue ช่วยรักษาไม่ได้) หรือเป็นการอักเสบที่ดื้อต่อยา และมีกระจกตาบริจาคพอดี เรียกกันว่า Therapeutic graft ที่เป็นการตัดเอากระจกตาติดเชื้อออก เป็นการขจัดเชื้อออกไปโดยตรง
    • กับอีกกรณี คือ เมื่อโรคสงบลงแต่เกิดแผลเป็นกับกระจกตาที่บดบังการมองเห็น ต้องใช้กระจกตาบริจาคมาปลูกถ่ายกระจกตา แทนที่ส่วนที่เป็นฝ้าขาว/เป็นแผลเป็น เพื่อช่วยให้สายตา/การมองเห็นให้ดีขึ้น

กระจกตาอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

โดยทั่วไป ถ้าพบแพทย์/จักษุแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการ แผลที่เกิดมีขนาดเล็ก และเป็นการติดเชื้อชนิดไม่รุนแรง กระจกตาอักเสบมีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษาได้หายโดยไม่มีปัญ หาในเรื่องการสูญเสียสายตา แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าพบแพทย์ล่าช้า หรือเชื้อเป็นชนิดรุนแรง หรือแผลที่กระจกตามีขนาดใหญ่ ผลการรักษาอาจไม่ดี และอาจเกิดผลข้างเคียง (กล่าวในหัว ข้อถัดไป) ได้สูง

กระจกตาอักเสบก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการเกิดกระจกตาอักเสบ คือ

  • ส่วนใหญ่ คือ การก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด ใช้เวลารักษานาน ทำให้เสียเวลาในการทำงาน
  • อาจเกิดมีแผลเป็นเกิดขึ้นที่กระจกตา หลังรักษาการอักเสบหายดีแล้ว ซึ่งขนาดของแผลเป็น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ถ้าแผลเป็นเล็กและอยู่ขอบๆกระจกตา อาจ จะไม่มีผลหรือมีผลต่อสายตาเล็กน้อย แต่ถ้าแผลเป็นอยู่ตรงกลางกระจกตา จะทำให้ตามัวลงมากจากแผลเป็นบังแสงที่จะเข้าลูกตา หรือบางรายแผลเป็น อาจดึงรั้งทำให้เกิดสายตาเอียงที่ไม่สม่ำเสมอ (Irregular astigmatism) ทำให้ตามัวลงได้เช่นกัน
  • แผลเป็น ทำให้ผิวกระจกตาไม่เรียบ มีการอักเสบติดเชื้อในตอนหลังได้มาก อีกทั้งผิวที่ไม่เรียบ จึงไม่อาจใช้คอนแทคเลนส์ได้อีก และยังก่อปัญหาของตาแห้ง เพราะน้ำตาเกลี่ยไม่ดีจากผิวกระจกตาที่ขรุขระ
  • หากเชื้อรุนแรง การรักษาไม่ได้ผล กระจกตาทะลุ เชื้อโรคเข้าสู่ภายในลูกตา ทำให้มีการติดเชื้อภายในลูกตา ทำลายส่วนต่างๆภายในลูกตา (Endophthalmitis) ซึ่งมักทำให้สูญเสียสายตา หรือในบางคนสูญเสียตาในที่สุด จากต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลูกตาออก
  • บางรายเชื้อโรคอาจลุกลามเข้าสู่สมองก่อให้เกิด สมองอักเสบ และ/หรือเข้าสู่กระแสเลือดก่อให้เกิด ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ที่เป็นภาวะที่ร้ายแรงที่สุดได้

ดูแลตนเองอย่างไรถ้าสงสัยกระจกตาอักเสบ? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?

การดูแลตนเองเมื่อสงสัยกระจกตาอักเสบ และ/หรือเมื่อมีกระจกตาอักเสบ ได้แก่

  • การมีอาการเจ็บตาร่วมกับมีจุดขาวกลางตาดำ/กระจกตา ถือเป็นภาวะที่ต้องพบจักษุแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที เพราะถือเป็นโรคร้ายแรงทางจักษุวิทยา
  • หากมีอาการดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ ก็ให้พบแพทย์/จักษุแพทย์/ไปโรง พยาบาลทันทีเช่นกัน
  • เมื่อพบแพทย์แล้ว ควรให้ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อช่วยการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และหากเคยมีการรักษามาก่อน ต้องนำยาที่ใช้มาให้แพทย์ดู เพื่อประกอบการตัด สินใจทางการรักษาด้วย
  • ห้ามซื้อยาต่างๆใช้เอง เพราะอาจไม่เข้ากับโรค อีกทั้งถ้าเป็นยาที่มี สเตียรอยด์ผสมอยู่ โรคจะยิ่งทรุดลง
  • ปฏิบัติตน และใช้ยาตามแพทย์/จักษุแพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง และติดตามผลการรักษาตามแพทย์นัด
  • ล้างมือให้สะอาดเสมอ ห้ามขยี้ตา
  • งดใช้คอนแทคเลนส์จนกว่า แพทย์/จักษุแพทย์จะอนุญาต
  • พบแพทย์/จักษุแพทย์ก่อนนัดเสมอ ถ้าอาการเลวลง หรือมีอาการผิดไปจากเดิม เช่น ปวดตามากขึ้น ตามัวมากขึ้น และ/หรือเมื่อกังวลในอาการ

ป้องกันกระจกตาอักเสบอย่างไร?

การป้องกันกระจกตาอักเสบทำได้โดย

  • สาเหตุของการเกิดกระจกตาอักเสบติดเชื้อ ส่วนมากมักเริ่มด้วยอุบัติเหตุบริเวณดวงตาก่อน ในหมู่คนที่มีแนวโน้มหรือมีโอกาสได้รับอุบัติเหตุที่ตา ควรตระหนักถึงข้อนี้และให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการทำงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ควรมีหรือใช้โล่บังหน้า แว่นนิรภัยที่แข็งแรงทำด้วยเลนส์ Polycarbonate ที่แข็งแรงทนต่อแรงกระแทกที่แตกหักได้ยาก อีกทั้งควรเป็นแว่นมีก้านด้านข้างที่กว้าง ปิดบังอุบัติเหตุที่อาจเข้าทางด้านข้าง แม้แต่การเล่นกีฬาที่อาจมีแรงกระแทก ควรใช้แว่นนิรภัยประจำ
  • ผู้มีความผิดปกติทางตาที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรแก้ไข เช่น ขนตาแยงเข้าตาควรรับการผ่าตัดแก้ไข, ตาแห้งควรหาสาเหตุและใช้น้ำตาเทียมหยอดตาช่วย เป็นต้น
  • ในปัจจุบันมีรายงานถึงปัญหาการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสม ไม่มีข้อบ่งชี้ ใช้ไม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุมากขึ้นในบ้านเรา น่าจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงโทษของการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกต้อง เตือนและแนะนำข้อปฏิบัติถูกต้องแก่ผู้ใช้คอนแทคเลนส์ทุกคน ถึง วิธีใช้ที่ถูกต้อง และการดูแลความสะอาดของคอนแทคเลนส์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในหมู่เด็กวัยรุ่นที่ใช้คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่น
  • รักษา และควบคุมโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ให้ดีอยู่เสมอ อันจะทำให้การติดเชื้อน้อยลง
  • หากมีอาการผิดปกติทางตา โดยเฉพาะมีอาการตามัว และ/หรือเจ็บ/ปวดตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ อย่าซื้อยาใช้เอง